- จากด้อมเกาหลี สู่ด้อมการเมือง ทำความเข้าใจวัฒนธรรมผู้สนับสนุน หรือกลุ่มแฟนคลับ ที่ไม่ใช่ว่ารักใครแล้วจะหลงใหลคลั่งไคล้ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
- วัฒนธรรมการเมืองของเกาหลีใต้และไทย มีบริบทที่ใกล้เคียงกันอย่างมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากการเคลื่อนไหวทางการเมือง จะเรียนรู้การแสดงออกผ่านสิ่งต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ได้เช่นเดียวกัน
- The Active คุยกับ 3 ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมเกาหลี ไพบูลย์ ปีตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KATS) และ “ลูกหว้า” กมลทิพย์ มีชูคุณ (bluesherbet) นักเขียนบันเทิงเกาหลี
ทันทีที่มีความเคลื่อนไหวสำคัญเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “ก้าวไกล” ปฏิกริยาในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะชาวทวิตเตี้ยน จะร่วมกันแสดงพลัง หลายครั้ง สะท้อนความต้องการของผู้คนในโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี จนติดอันดับความนิยมอย่างรวดเร็ว จำนวนโพสต์ที่พุ่งขึ้นนับล้านครั้ง มีผลต่อการตัดสินใจของพรรคก้าวไกลทันที
ปรากฏการณ์ #มีกรณ์ไม่มีกู ดูเหมือนจะเป็นครั้งที่ทำให้เห็นภาพชัดที่สุด กลายเป็นการตอกย้ำวาทกรรม “ด้อมส้ม” ทั้งในฐานะแฟนคลับในโลกออนไลน์ และฐานเสียงในโลกแห่งความจริง ที่ความนิยมได้ส่งให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 มาแล้ว
กระทั่งล่าสุด #ธุรกิจสว และ #เมียน้อยสว ที่ชาวด้อม แสดงออกหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมกันกดดันให้สมาชิกวุฒิสภาเคารพเสียงของประชาชน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ กับการล่าแม่มด
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ “ด้อมเกาหลี” หลายมาเป็น “ด้อมการเมือง” คือการชุมนุมของกลุ่มราษฎรที่แยกปทุมวัน ก่อนจะมีการสลายการชุมนุมในเวลาต่อมา ครั้งนั้น มีการสั่งปิดให้บริการรถไฟฟ้าบีเอส เมื่อ “ด้อมเกาหลี” ที่มักจะซื้อโฆษณาอวยพรวันเกิดศิลปินเกาหลีกับบีทีเอสเป็นประจำ กลายเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับผู้ชุมนุม พวกเขาจึงตอบโต้โดยการเลือกจะไปซื้อโฆษณาทางรถตุ๊กตุ๊กหรือป้ายโฆษณาที่อื่น ๆ แทน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/07/66-1024x684.jpg)
ทำความเข้าใจโลกของด้อม รักแรง แต่ก็แบนได้
“แฟนด้อม” คือ คำจำกัดความกลุ่มแฟนคลับของศิลปิน มาจากคำว่า Fanclub + Kingdom เปรียบศิลปินแต่ละวง เป็นแต่ละอาณาจักร มีประชากรหรือกลุ่มแฟนคลับเป็นของตัวเอง เมื่อนำมาผสมกับคำว่า “ส้ม” อันเป็นสีสัญลักษณ์ของพรรคก้าวไกล จึงกลายเป็น “ด้อมส้ม” แต่ในอีกนัย การเป็นด้อมหมายถึง ความรัก ความหลงใหล ความคลั่งไคล้ หรือความเชื่อใด ๆ อย่างไม่มีเหตุผล และความรู้สึกนี้ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมในการติดตามและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด พร้อมจะปกป้องอย่างไม่มีข้อแม้
ส่วน “ติ่งเกาหลี” เป็นคำที่เอาไว้เรียกกลุ่ม “แฟนคลับ” ที่มีความคลั่งไคล้และความทุ่มเทติดตามผลงานศิลปินคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างเต็มกำลัง ทั้งในแง่ของความรู้สึกและพฤติกรรม อดีตถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้ความรู้สึกแง่ลบ เพราะถูกมองว่าไร้สาระ แต่ในปัจจุบัน ‘ติ่ง’ เริ่มมีความหมายในแง่บวก ตีความได้กว้างขวางขึ้น จากพลังขับเคลื่อนในมิติต่าง ๆ ของกลุ่มแฟนคลับไอดอลเกาหลี
แต่แม้ว่ารักมาก ก็เทได้ แวดวงด้อม จึงมีสิ่งที่เรียกว่า “Cancel Culture” หรือวัฒนธรรมการ “แบน” โดยนิยามแล้ว คือการเลิกสนับสนุนคนมีชื่อเสียงจากการกระทำที่ไม่เหมาะสม เสื่อมเสีย หรือแม้แต่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง ตามมาด้วยการคว่ำบาตรหรือแบนศิลปินเหล่านั้นอย่างไร้เยื่อใย เพื่อเป็นการแสดงออกจากกลุ่มแฟนคลับหรือผู้บริโภคว่าไม่สนับสนุนการกระทำ หรือความคิดเห็นที่คนดังแสดงออกไป
เช่น กรณีของ การัม อดีตสมาชิกวง LE SSERAFIM ซึ่งมีข่าวเรื่องการบูลลี่เพื่อนร่วมชั้น แฟน ๆ ของวงบางส่วนเริ่มมีการเรียกร้องให้เธอออกจากวง เธอจึงพักงาน และยกเลิกสัญญาในภายหลัง แม้ว่าการัมจะพยายามพิสูจน์ตัวตน ว่าเข้าไปช่วยเพื่อนจากคนที่ถูกบูลลี่ก่อน แต่ชาวเน็ตได้มองว่า เธอเองก็มีส่วนในการใช้ความรุนแรงเช่นกัน
หรือกรณีของ ลูกหนัง ที่เปิดตัวเป็นศิลปินเกาหลีวง H1-KEY ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนเกิดกระแส #แบนลูกหนัง เมื่อผู้คนในโซเชียลมองว่า เราไม่ควรสนับสนุนคนที่ครอบครัวมีส่วนในม็อบ กปปส. ซึ่งนำมาสู่การทำรัฐประหาร จนทำให้ลูกหนังต้องถอนตัวจากการเป็นสมาชิกวง H1-KEY
ส่วนในสนามการเมือง หลายคนมองว่า ไม่ว่าจะเป็น Voter ของพรรคสีส้ม หรือพรรคอื่น ๆ ในขั้วที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” หากออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะนี้ ไม่ควรถูกเหมารวมว่าเป็นความเคลื่อนไหวแบบ “ด้อม” เสียทั้งหมด กระทั่งเริ่มมีการเรียกร้องให้หยุดเรียก Voter พรรคก้าวไกลว่า “ด้อมส้ม” หากไม่อยากกลายเป็นส่วนหนึ่งของการรัฐประหารด้วยตุลาการกฏหมาย ที่มีภาษาเป็นเครื่องมือ
![ด้อมการเมือง](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/07/comment-1-1-1024x576.jpg)
เสรีภาพการแสดงออก VS การละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ท่ามกลางความอึดอัดทางการเมือง ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ทั้งที่ในสภากำลังมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีรอบสอง ส่วนนอกสภาก็มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองมากมาย
ก่อนหน้านี้ ‘พิธา’ เคยประกาศว่า “ขอให้ประชาชนทุกคน ร่วมทำภารกิจกับผมในสองสมรภูมินี้ โดยการ ส่งสารถึง สว. ในทุกวิถีทาง ทุกวิธีการที่ท่านนึกออก ย้ำ ขอเป็นวิธีการสร้างสรรค์ ช่วยกันเชิญชวนให้ สว. โหวตนายกตามมติประชาชน หรือ โหวตยกเลิกมาตรา 272 เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน“ แล้วอะไรคือการแสดงพลังอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะกลุ่มด้อมการเมือง ในมุมของผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมเกาหลี
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/07/4-1024x684.jpg)
ไพบูลย์ ปีตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ด้อม เองสามารถแสดงพลังอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ จะเป็นเชิงสัญลักษณ์ หรือชักชวนก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิหรือทำร้ายคนอื่น รัฐธรรมนูญให้สิทธิในการแสดงออก แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือต้องควบคุมในเชิงระดับ หากฝั่งแสดงออกอ้างเสรีภาพ แต่อีกฝั่งที่ไม่อยากให้แสดงออกบอกว่ากำลังละเมิดสิทธิผู้อื่นอยู่ ฉะนั้นต้อง clear-cut ว่าแสดงออกอย่างเต็มที่อย่างไร ที่ไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่น
ขนบการเมืองเกาหลีใต้ กับเงื่อนไขการเมืองไทย
หากเทียบขนบการเมืองของเกาหลีใต้ ที่มีการต่อสู้ตลอดเวลา เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KATS) มองว่ามีหลายวิธี อย่างแรก คือ การชุมนุมทางการเมืองอย่างสันติ โดยใช้วิธีจุดเทียน เทียนความหมายก็คือแสงสว่าง เป็นการชี้นำความสว่างในความมืด เรื่องเทียนก็เป็นไปตามพระราชบัญญัติการชุมนุมของเกาหลีใต้ ซึ่งถูกกฎหมาย ต้องมีการแจ้งขออนุญาตก่อน เป็นการยอมรับทั้ง 2 ฝ่าย ในอดีตที่เคยมีการขับไล่ประธานาธิบดีแต่ละสัปดาห์จะมีการเคลื่อนสู่ทำเนียบประธานาธิบดี หรือ ชอง วา แด (청와대: Cheong Wa Dae) ผู้ชุมนุมจะขออนุญาตให้ศาลสั่งว่าขยับได้กี่เมตร ในเกาหลีใต้ตำรวจทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการชุมนุม ศาลเข้ามาร่วมในฐานะกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดการจุดเทียนสอดคล้องกับที่บอกว่าไม่ใช้ความรุนแรง ชุมนุมอย่างสันติ
ส่วนกระแสการแบนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะแฟนด้อมอาจจะนึกไม่ออกว่าจะแสดงออกอย่างไรได้บ้าง ก็เลยเลือกทางนี้แต่นี่ก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่ก็จะมีเรื่องคำพูดที่อาจรู้สึกว่าถูกคุกคาม ข่มขู่ได้
ส่วนการบอยคอต คว่ำบาตร แบนสินค้าหรือธุรกิจ เกาหลีใต้เคยทำและทำบ่อย สอดคล้องกับวัฒนธรรมการยกเลิกหรือ Cancel culture ตราบใดที่เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพ ก็อาจจะมีเงื่อนไขที่ยังพอคุยกันได้ แต่ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ การแบนนักการเมืองในปัจจุบันของเกาหลีใต้ เมื่ออยู่ฝ่ายตรงข้ามกับความคิดของตัวเอง เมื่อไม่ชอบหน้าฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว เครื่องด่าจะทำงานอัตโนมัติ แต่นี่คือ Cancel culture ไหม อาจจะต้องคิด
ส่วน “ลูกหว้า” กมลทิพย์ มีชูคุณ (bluesherbet) นักเขียนบันเทิงเกาหลี ตั้งคำถามว่า “ความรุนแรงเกิดจากใครก่อนหนึ่ง!” เธอบอกว่าจุดเริ่มต้นความรุนแรงไม่ได้มาจากประชาชน จุดเริ่มต้นของม็อบต่าง ๆ ก็เริ่มอย่างสร้างสรรค์ ทั้ง วิ่งกันนะ แฮมทาโร่ หรือ ม็อบแฮรี่พ็อตเตอร์ ไม่ได้มีการใช้อาวุธ หรือแม้แต่การชุมนุมสมัยก่อน ประชาชนก็ไม่ได้เริ่มต้นจากการใช้อาวุธ หากเปรียบคงเหมือนลูกโป่งที่อัดแก๊ส ถ้าไม่ปล่อยออกมาบ้าง สักวันก็คงจะระเบิด แต่ถ้าวันหนึ่งประชาชนหยิบเอาอาวุธมาสู้กลับ ก็อาจเป็นเพราะถูกกดขี่ ถูกใช้ความรุนแรงก่อน
“จริง ๆ แล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับประชาชนเลย ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจที่ปฏิบัติกับม็อบอย่างไร”
กมลทิพย์ มีชูคุณ
“สื่อบันเทิง” เครื่องมือเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ลูกหว้า ชวนมองเทียบบริบทเรื่องนี้กับเกาหลีใต้ สิ่งที่เกาหลีใต้ได้เปรียบ และอยากให้ประเทศไทยทำได้ คือ การที่เขามีสื่อที่เป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นตรงต่อการตรวจสอบของรัฐบาล หรือมีองค์กรอิสระที่ตรวจสอบกันเองได้ ซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่รัฐบาลหรือมีนายทุนใหญ่ให้การสนับสนุน จะไม่สามารถยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวได้ อย่าง Parasite ที่นำเสนอเรื่องราวความเหลื่อมล้ำ คนที่ต้องอาศัยอยู่บ้านเช่ากึ่งใต้ดิน หลังภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล รัฐบาลได้ไปปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ถ้าเป็นบางประเทศ (เอ๊ะ?) คงจะโมโหว่าเอาเรื่องไม่ดีของประเทศไปฉายได้อย่างไร
“แม้ว่าไทยยุคนี้จะดีขึ้นแล้ว แต่หนังหรือภาพยนตร์ก็ยัง Romanticize ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน หรือว่าอะไรที่ผลิตซ้ำบ่อย ๆ อย่างเช่น ผู้กองยอดรัก ที่แสดงว่าการรับใช้ชาติมันดีนะ การรับใช้นายพลเป็นเรื่องที่ดี”
กมลทิพย์ มีชูคุณ
ถ้ามองย้อนกลับไป เราเองก็เติบโตมากับสื่อแบบนี้ เราถูกหล่อหลอม เรามีชุดความดีความดีงามแบบหนึ่ง แล้วเราก็ดำเนินไปในแบบนั้น เราจะมองว่าถ้าผู้หญิงแต่งตัวฉูดฉาดหวือหวาเป็นคนไม่ดี เห็นคนกระด้างกระเดื่อง ไม่มีมารยาท เราก็จะรู้สึกไม่ดีกับเขา จึงมองว่าสื่อจำเป็นมาก หากเทียบเกาหลีใต้ที่ได้รับประชาธิปไตยในปี 1987 ในการเลือกตั้งครั้งแรกมีฝั่งประชาธิปไตย 2 พรรคมาสู้กัน และมีพรรคเผด็จการเก่าลงอีก 1 พรรค ทั้ง 3 พรรคคะแนนสูสีมาก คนเลือกพรรคเผด็จการน้อยกว่า แต่ว่าพรรคประชาธิปไตยตัดคะแนนกันเอง จึงทำให้เผด็จการได้ครองอำนาจต่อไป หลังหมดวาระถึงเข้ายุคประชาธิปไตยเต็มใบและสื่อมีอิสระมากขึ้น
ติ่งเกาหลี ตอนนี้สามารถทำได้คือการดูภาพยนตร์เกี่ยวกับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ เพราะเกาหลีใต้มีความคล้ายกับประเทศไทย นอกจากเรื่องเผด็จการ หรือมาเฟียบ้านใหญ่ ตระกูลแชบอลที่ร่ำรวยก่อร่างสร้างตัวได้ ก็มาจากยุคเผด็จการเช่นกัน
นอกจากการเสพซีรีส์ ที่เกาหลีใต้คนอ่านเว็บตูนเยอะมาก ย้อนไปประมาณปี 2006 มีนักวาดการ์ตูนที่วาดเรื่อง 26 Year เป็นเรื่องราวที่ ควังจู ที่ชายคนหนึ่งเห็นครอบครัวตายไปต่อหน้า ความคับแค้นใจของชายผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนในเมืองควังจู เกาหลีใต้
ในเว็บตูนเขาได้เข้าร่วมแผนการชำระแค้น วางแผนลอบสังหารประธานาธิบดีเผด็จการต้นตอโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ควังจูได้สำเร็จ แต่ในความเป็นจริง ผู้นำเผด็จการคนนั้นกลับไม่ตาย คนที่ออกคำสั่งฆ่ากลับได้รับอิสรภาพและเสวยสุข ที่สำคัญเหยื่อยังไม่เคยได้รับคำขอโทษออกจากปากคนสั่งการแม้แต่ครั้งเดียว จึงมองว่าการที่สื่อไม่โดนแบน มีช่องทางแสดงออก เป็นสิ่งที่ดี ที่ควรจะมีในไทยบ้าง
“ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น Mass Media ก็ได้ อย่างเว็บตูน เป็นสื่อที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ สร้างจากเจตจำนงของประชาชน ณ ตอนนั้น ไม่มีนายทุนมาครอบงำ หากไม่ได้มีเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตยแล้ว ก็สามารถผลักดันสังคมในเรื่องอื่นได้”
กมลทิพย์ มีชูคุณ
มองนอกกรอบ สู่ วิธีการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
ไพบูลย์ เสนอว่า อาจใช้ความสามารถที่มีอยู่ในการแสดงออกทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เช่น ใช้งานที่เราทำอยู่มาแสดงออก เป็นศิลปินใช้การวาดภาพ หรือจะชักชวนก็ได้ หรือมีอิเวนต์ อย่างเกาหลีใต้มีงานจะมีการแจกที่ครอบแก้ว (Cup sleeve) เราก็สามารถแจกเพื่อปกป้อง เรียกร้องให้ สว. ฟังเสียงประชาชน เป็นแคมเปญแจกแก้วน้ำ โดยอาจเล่าประวัติความเป็นมาของ สว. มอง สว. มีบทบาททางการเมืองอย่างไร ทำไมเราต้องมี สว. สร้างโมเดล โดยยก สว. ที่ดี เมื่อ สว. เป็นบุคคลสาธารณะ เราสามารถเรียกร้องได้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/07/LINE_ALBUM_โหวตรอบ2-19ก.ค.66_๒๓๐๗๒๑_0-1024x684.jpg)
ส่วน เสกสรร มองการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือการสร้างศักยภาพให้ประชาชน และการลดทอนอำนาจของผู้ประพฤติมิชอบ เมื่อการจุดเทียนไม่มีข้อติ อาจจะเหมาะสมกับประเทศไทย
- การเสริมศักยภาพให้ประชาชน Empower People ภาครัฐของเกาหลีใต้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับทุกเรื่อง มี Hackathon ค่อนข้างบ่อย สภาของเกาหลีใต้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้งาน เปิดกระบวนให้เห็นว่าอะไรเป็นข้อจำกัด ความท้าทาย อุปสรรค หรือโอกาส แต่ท้ายที่สุดประเทศนี้ไม่ได้เป็นของคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่เป็นของคนทุกรุ่น ทั้งเก่า-ใหม่ ฉะนั้นต้องมาเจอกัน ต้องคุยกัน
- ลดทอน ลดความชอบธรรมของผู้มีอำนาจที่ประพฤติผิด ประพฤติมิชอบ ข้อมูลทุกอย่างต้องโปร่งใส ต้องตรวจสอบได้ เอาผิดย้อนหลังได้ ในประเทศเกาหลีใต้แรงกดดันสำคัญ สมมุติว่ามีรัฐมนตรีบอกลูกน้องหรือสื่อว่า “โง่” วันรุ่งขึ้นต้องลาออก เพราะแค่เรื่องจริยธรรมพื้นฐานในแง่ของการพูดยังทำไม่ได้เลย คะแนนนิยมจะตกลง แต่ปัญหาคือเมื่อเป็นพวกเดียวกันก็จะอุ้มชู นี่เป็นข้อจำกัดใหญ่ที่จะทำให้สังคมไทยเน่าเฟะ ถลำลึกมากขึ้น ต้องเอาความดี ความงาม ความจริง มาคุยกัน
เสกสรร มองว่า การจุดเทียน อาจจะเหมาะกับไทยที่สุด คนไทยรักสงบ (ถ้ามีทางเลือก) ตอนนี้มี พ.ร.บ.การชุมนุม กทม. ในยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กทม. อนุญาตให้มีพื้นที่ชุมนุม เหมือนตัวช่วยการเปิดฝาหม้อน้ำร้อนที่กำลังเดือดให้มีที่หายใจบ้าง ลดแรงกดดัน การจุดเทียนจริง ๆ ทำง่าย หรืออาจจะแต่งเพลง แปลงให้เป็นงานแฟร์ ถ้าเราเชื่อว่าไทยเก่งเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อย่างในเกาหลีใต้เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาร่วมสังเกตการชุมนุม ทำเป็นเทศกาลวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจ ร้านค้าที่อยู่รายรอบชอบการชุมนุม เพราะค้าขายดี จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากจะบอกว่าการชุมนุมเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ทำให้สนุก คิดว่าสำหรับคนที่ลังเลเรื่องจะออกไปชุมนุมดีไหม? คงคิดถึงเรื่องความสงบ การปะทะ การใช้ความรุนแรง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/07/261557.jpg)
ไม่อยากมีม็อบ ไม่ชอบพวกลงถนน ฉันรักสงบ
ลูกหว้า ยอมรับว่าเคยเป็นคนแบบนั้น แต่พอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น การอยู่อย่างเป็นระเบียบมันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? เขากำหนดหน้าที่ให้ เป็นนักเรียนก็เรียนไป เป็นลูกจ้างก็ทำงาน เราชินการสยบยอมอยู่ใน Safe Zone เรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งมีรัฐบาลและมีกฎหมายที่เป็นธรรมกับประชาชน จะทำให้คุณเลือก Active ทางการเมือง คุณก็ทำได้ คุณอยากอยู่เฉย ๆ ก็ได้ เพราะว่านี่คือการตัดสินใจของคุณ
เธอยอมรับว่าเคยเป็นสลิ่มคนหนึ่ง แล้วเราก็เติบโตขึ้นจากการเสพสื่อในยุคที่มีสื่อจากต่างประเทศ ผ่านซีรีส์ สามารถช่วยประมวลผลแต่ตราบใดก็ตามที่เรายังสมาทานแนวคิดเดิม ๆ สมาทานหลักความดีเดิม ๆ เอาไว้ อย่างพวกละครคุณธรรม ต่อให้เราดูซีรีส์ต่างประเทศเป็น 100 เรื่อง เราก็วิเคราะห์ไม่ได้ เพราะชุดความดีที่เรานับถือไว้
“สิ่งที่ยากที่สุด คือการโน้มน้าวคนที่มีความคิดแบบนั้นให้เปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าความคิดเรา ณ ตอนนี้ มันถูกต้องหรือเปล่า ที่เราตัดสินใจตอนนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่ถูกในอีก 10 ปีข้างหน้าก็ได้ แต่ว่าก็เป็นตามเสียงส่วนใหญ่”
กมลทิพย์ มีชูคุณ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/07/LINE_ALBUM_โหวตรอบ2-19ก.ค.66_๒๓๐๗๒๐-1024x684.jpg)
ไพบูลย์ มองว่าแต่ละกลุ่มจะมองอย่างไรก็ได้ มีสิทธิที่จะมอง คนที่มีค่านิยมคล้ายกัน มุมมองก็จะคล้ายกัน โดยตั้งสิ่งที่อยากได้ แต่คนในสังคมมองต่างได้ตลอดเวลา แต่มองต่างไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน คนมองต่างยิ่งจำเป็นต้องมาถกกัน โดยรวมต้องมองแนวทางที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศมากที่สุด
บทส่งท้าย
มีคำกล่าวว่า…มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ผลก็เหมือนเดิม ยิ่งในบริบทสายธารการเมืองที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา จาก “คอการเมือง” สู่ “ด้อมการเมือง” ย่อมทำให้ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคการเมืองขยายตัวเป็นวงกว้าง และตามมาด้วยการแสดงออกที่แตกต่างและหลากหลาย
เมื่อ…การต่อสู้ของประชาชนไม่มีที่สิ้นสุด หมุดหมายของการกระทำคือความหวังต่ออนาคตประเทศ ดังนั้น วิธีการที่แตกต่าง ก็อาจตามมาด้วยผลลัพธ์ที่แตกต่าง การแสดงพลังอย่างสร้างสรรค์ก็อาจเป็นหนึ่งในวิธีการที่พาไปสู่ผลลัพธ์ที่ว่านั้น