“ที่นามีเท่าไหร่ ตอนนี้ไปอยู่กับ ธ.ก.ส. จำนองไว้กับธนาคาร หมดแล้ว ถ้าไม่ทำแล้วจะเอาอะไรเลี้ยงช้าง…”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/244969402_231922255512193_7999483892246568006_n.jpg)
คงมีความอัดอั้นตันใจอีกหลายสิ่งที่อยากจะบอก แต่น้ำตาของ “ทิพย์ ยีรัมย์” ควาญช้าง วัย 55 ปี ก็ทำเอาบทสนทนา ไปต่อไม่ได้
เขานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เช็ดน้ำตา แล้วก็ใช้เวลาสั้น ๆ คุยกับเราต่อ ฆ่าเวลา ระหว่างรอรับกอต้นสับปะรด เอากลับไปให้ช้างกิน
เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด วิถี “คนเลี้ยงช้าง”
ควาญทิพย์ เล่าให้ฟังว่า เขาเกิดที่ บ้านตาทิตย์ ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ แต่ต้องจากบ้านไปทำมาหากินอยู่กับปางช้างที่ จ.ภูเก็ต มา 20 กว่าปี พร้อม ๆ กับช้างอีก 25 เชือก ที่ช่วยให้เขาและครอบครัวมีอยู่ มีกิน
เขาไม่คิดมาก่อนว่า รายได้หลักหมื่นต่อเดือน เงินเก็บอีกหลักแสน จะหายวับไปกับตา ภายในเวลาปีกว่า ๆ เพราะโควิด-19 การปิดภูเก็ต ทำให้เมืองทั้งเมืองไร้นักท่องเที่ยว ประตูปางช้าง ก็แทบปิดตาย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/245565886_402558861332951_308148465721226616_n.jpg)
“ผมหวังทุกวันนะ สักวันปางช้างจะกลับมา แต่จนแล้วจนรอด จากที่ช้างเคยมีที่อยู่ ก็ต้องยอมออกมาจากปางช้าง เพราะเจ้าของ เขาก็คงเลี้ยงเรากับช้างไว้ไม่ไหวแล้ว จะกลับสุรินทร์ก็ยังไม่ได้ เลยต้องเช่าที่ดินให้พวกเขาอยู่กันไปก่อน เดือน ๆ หนึ่งก็ 20,000 บาท ไหนจะค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายของเราอีก เชื่อมั้ย ไม่ถึงปี เงินเก็บก็หมด นั่นแหละถึงได้เอาที่นาที่สุรินทร์ไปจำนองมาเลี้ยงช้าง”
พอไม่มีงานหลักที่ปางช้าง งานรับจ้างทุกอย่าง ควาญทิพย์ รับหมด จนสุดท้ายไปต่อไม่ไหว เลยตัดสินใจทยอยเอาช้างกลับสุรินทร์
พังพูนทรัพย์, พลายธันวา, พลายแก้วนิล และ พลายฟ้า คือช้าง 4 เชือกแรก ที่เอากลับบ้าน มาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/246714691_1698886953647798_1258282007681965352_n.jpg)
เล่ามาถึงตรงนี้ ควาญทิพย์ ก็นิ่งปาดน้ำตาอีกรอบ เพราะเขาเพิ่งสูญเสีย “พลายแก้วนิล” และ “พลายฟ้า” เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว จนถึงตอนนี้ที่สุรินทร์ เหลือช้างเพียง 2 เชือกที่ดูแล ส่วนที่ยังอยู่ภูเก็ต ก็คงไม่เอากลับมาแล้ว เขาตั้งใจรอจนกว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา และเขาก็พร้อมจะกลับไปสู้อีกรอบ
ดิ้นทุกทาง เพื่อ “ช้าง” อิ่ม
วันนี้ อย่างน้อย ๆ ช้าง 152 เชือก ที่ตกงานกลับบ้านมาพร้อม ๆ กับควาญทิพย์ จากหลายหมู่บ้านใน ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ และ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ คงมีอาหารประทังไปได้อีกมื้อ เมื่อมีคนใจบุญบริจาคเงินซื้อกอสับปะรดเลี้ยงช้าง ให้ถึง 3 คัน รถหกล้อ
เพราะเดือดร้อนกันทั้งหมด จึงมีข้อตกลงร่วมกัน ไม่ว่าจะได้บริจาคอาหารมาเท่าไหร่ ก็ต้องแบ่งให้เท่า ๆ กัน อย่างรอบนี้ เฉลี่ยแล้วควาญแต่ละคน ได้เอากอสับปะรดกลับไป 40 ต้นต่อช้าง 1 เชือก แน่นอนคงไม่ทำให้อิ่ม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีกิน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/246717318_1034314700734632_5341845511787101717_n.jpg)
“วิระวิช ภาคพรม” คือ ควาญหนุ่มอีกคน ที่ตกงานกลับมาจากภูเก็ต เขายอมรับ ทุกวันนี้เงินว่าหายากแล้ว อาหารช้างยังหายากกว่า ดีที่ใน 1 สัปดาห์ ยังมีคนใจบุญมาบริจาคให้ แต่มันก็ไม่พอ
“ตอนนี้ในหัวไม่ต้องคิดอะไรเลย นอกจากคิดอย่างเดียวว่า ตื่นเช้ามาจะหาอาหารจากที่ไหนให้ช้างกิน บางวันต้องยอมตระเวนขับรถไปหาซื้อหญ้าถึงบุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และ ศรีสะเกษ”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/247079340_4711101968942304_3661442129106999571_n.jpg)
“บางครั้งก็รวมกลุ่มกัน ลงขันซื้ออ้อย, สับปะรด, กล้วย จ้างรถขนมาให้ เต็มรถหกล้อ ประมาณ 8 ตัน ค่าส่งก็เที่ยวละ 12,000 บาท ถ้ารถสิบล้อ ค่าส่งก็แพงขึ้นหน่อยเป็น 15,000 บาท แม้ว่าในพื้นที่กำลังถึงหน้าเกี่ยวข้าว จะรอซังข้าวมาให้ช้าง ก็เจอน้ำท่วม ปลูกหญ้าไว้บางพื้นที่ก็ไม่รอด จมน้ำหมด”
ช้าง(น้อย) เยียวยาใจ ในวันสิ้นหวัง
บนความทุกข์ใจของหลาย ๆ คน กลับมีสิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น พอช่วยเยียวยาจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจให้แก่บรรดาควาญช้าง และผู้คนที่บ้านตราด ต.ท่าม่วง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/248415820_584939809593796_5204843573420301149_n.jpg)
กลางดึกคืนวันออกพรรษา (21 ต.ค. 64) “แม่โบว์” ช้างพังวัย 15 ปี ตกลูก ช้างน้อยเพศเมีย ที่ลืมตาดูโลก “จักรี บุญเจริญ” ควาญช้างตั้งชื่อให้ว่า “สุพรรษา” และถือโอกาสเรียกชื่อเล่นว่า “น้องลิซ่า” ตามชื่อนักร้องดังระดับโลก ขวัญใจชาวไทย และคนบุรีรัมย์
“น้องลิซ่า” ทำให้โรงเลี้ยงช้างที่เงียบเหงากลับมาคึกคัก คนเกือบทั้งหมู่บ้าน ควาญช้างจากหลายพื้นที่ มาเพื่อรับพลังใจ และรอยยิ้มจากความน่ารัก ไร้เดียงสาของช้างน้อย กลับไป
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/245092999_620488255795636_4626698995818279747_n.jpg)
“น้องลิซ่า เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับโควิด เพราะแม่โบว์ ตั้งท้องมาก็ 21 เดือน ตั้งแต่ยังอยู่ปางช้างที่พัทยา ทุกคนเฝ้ารอวันนี้ แม้เกิดมาในช่วงที่ต่างคนต่างก็ลำบาก ทั้งคนทั้งช้างตกงาน แต่ยังไงน้องลิซ่าก็คือสมาชิกใหม่ของครอบครัว เราต้องดูแลให้ดีที่สุด”
“คนยังอดได้ แต่ช้างต้องกินอิ่ม” คงไม่ใช่แค่คำพูดเล่น ๆ ในสถานการณ์นี้ เมื่อช้างและคน ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ด้วยความผูกพันที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
วิกฤตที่คนเลี้ยงช้างกำลังเผชิญ พวกเขาจึงหวังเพียงส่งเสียงสะท้อนให้ภาครัฐมองเห็นปัญหา และช่วยเยียวยา ไม่ต่างจากอาชีพอื่น เพื่อทำให้คำว่า “สัตว์คู่บ้านคู่เมือง” มีความสำคัญ และสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับ “ช้างไทย”