วิเคราะห์ปัจจัย “ฝุ่น” พุ่งทั่วไทย

ในวันที่ฝุ่นกระจายฟุ้งทั่วประเทศไทย แอปพลิเคชัน ทั้ง Air 4 Thai, Air visual หรือสายตาของตัวเราเอง ก็ประจักษ์ชัดแจ้ง ว่าปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ ฝุ่น PM 2.5 หนาแน่นทั่วท้องฟ้า

อย่างกรุงเทพมหานคร วันที่ 15 ม.ค. 2564 ฝุ่นเกินค่ามาตรฐานเกือบทุกพื้นที่ เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ช่วง 7 นาฬิกา อยู่ระหว่าง 70 – 111 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐานของประเทศไทย  ขณะที่ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคเหนือ ต่างก็มีค่าฝุ่นจิ๋วระดับอันตรายมากต่อสุขภาพเช่นกัน  

ทำไมแอปฯ รายงานค่าฝุ่นไม่ตรงกัน 

ปริมาณค่าฝุ่นที่รายงานจาก 2 แอปพลิเคชัน เราเห็นสีและตัวเลขที่ต่างกัน ไม่ต้องแปลกใจ เพราะแอปพลิเคชัน Air visual ใช้ตัวเลขอ้างอิงจากกรมควบคุมมลพิษเหมือนกับ Air 4 Thai แต่เวลาเข้าสูตรคำนวณ จะใช้คนละสูตร และการรายงานของ Air visual ก็อ้างอิงตามเกณฑ์มาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนของ Air 4 Thai รายงานอิงตามเกณฑ์มาตรฐานของประเทศไทย ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตัวเลขและแถบสีจึงต่างกัน และแอปฯ Air visual ตัวเลขยังสูงกว่ามาก

ดังนั้น จุดสังเกตเมื่อเราใช้งาน นอกจากรู้ที่มาของข้อมูลแล้ว ต้องดูด้วยว่าตัวเลขเป็นค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง หรือรายชั่วโมงกันแน่ ถ้าทางการแพทย์ ก็จะแนะนำให้ดูตัวเลขรายชั่วโมง แต่ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้อ้างอิงในระดับนโยบาย และนำไปคำนาณอีกครั้ง เป็นค่าเฉลี่ยแบบรายปี ซึ่งตัวเลขก็จะต่ำกว่าเดิม หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยรายวันนั้นเอง 

AirVisual
Air4Thai

ฝุ่นมาแล้วก็ไป ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ จริงหรือ ?

ฝุ่น PM 2.5 ไม่เคยหายไปไหน ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศตามปริมาณที่แหล่งกำเนิดปล่อยออกมาแต่ละวัน แต่ฤดูร้อน และฤดูฝน ช่วยบรรเทาปัดเป่าฝุ่นให้ แต่เมื่อไม่มีตัวช่วยตัวนี้ เราเลยสัมผัสได้ มองเห็น โดยเฉพาะปริมาณฝุ่นพิษจิ๋วช่วงปลายปีถึงต้นปี ดังนั้น สภาพอากาศ และแหล่งกำเนิดฝุ่น จึงเป็นปัจจัยหลักปัจจัยหนุนเสริมซึ่งกันและกัน เพราะช่วงปลายปีอุณหภูมิลดลง อากาศเย็นจะมีความหนาแน่นมากกว่าอากาศร้อน จึงทำให้เกิด ความกดอากาศสูง มักเป็นปัจจัยของปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผันในชั้นบรรยากาศ ที่ระดับใกล้ผิวพื้น ให้การลอยตัวขึ้นของอากาศไม่ดีและเกิดลมสงบ  หรือเรียกว่า inversion ซึ่งเป็นอุปสรรคของการแพร่กระจายของฝุ่นละออง

และถ้าระดับอุณหภูมิผกผันลดระดับลง จะเพิ่มความเข้มข้นของฝุ่นละอองในบรรยากาศมากขึ้น สภาพอากาศจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ลม ทิศทางลม อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้  ดังนั้น ถ้าจะรับมือเรื่องนี้ ต้องจัดการกับแหล่งกำเนิด ปัจจัยที่เราควบคุมได้

แหล่งกำเนิดฝุ่นมีหลายแหล่ง 

ถ้าในเขตเมืองไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานครหรือต่างจังหวัด แหล่งกำเนิดแหล่งนี้ยังคงเป็นสัดส่วนของการปล่อยมลพิษที่มากที่สุดและต้องเร่งจัดการ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ฝุ่น กทม. มาจากแหล่งนี้ ถึง 72 % โดยยานพาหนะ ประเภทดีเซล รถบรรทุก รถบัส มีสัดส่วนการปล่อยฝุ่น PM 2.5 มากที่สุด เพราะเครื่องยนต์ดีเซลมีระบบการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เบนซิน จึงทำให้การปล่อยมลพิษมีมากกว่า ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก ปี 2563 พบว่า รถยนต์ดีเซลที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานคร มี 10.9 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ราว  7 แสนคัน รถเหล่านี้ มาตรฐานเครื่องยนต์ยังเป็นเพียงแค่ ยูโร 3 (Euro emissions standards ควบคุมอัตราการปล่อยมลพิษของรถยนต์) ขณะที่รถกระบะถ้าเป็นรุ่นใหม่ ๆ จะเป็นเครื่องยนต์ยูโร 4

นอกจากนี้ คุณภาพน้ำมันที่ประเภทเครื่องยนต์เติม ก็ยังมีผลต่อปริมาณการปล่อยฝุ่นด้วย  ส่วนมาตรฐานน้ำมันในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นเพียง มาตรฐานยูโร 4   พอลองคำนวณแล้ว จะพบว่า รถบรรทุก รถบัส กทม. มีอยู่ 2 แสนคัน  จะปล่อยมลพิษ 25.8 กิโลกรัมต่อกิโลเมตร ส่วนรถกระบะ ในกรุงเทพมีอยู่ 2.6 ล้านคัน  จะปล่อยมลพิษ ออกมา 1,638 กิโลกรัม ต่อกิโลเมตร ลองคิดดูว่า 1 ปี ฝุ่นจะถูกปล่อยออกมามากน้อยแค่ไหน ส่วนการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ตั้งเป้าไว้ในปี 2567 

แต่คงมีการตั้งข้อสังเกตว่า ตอนนี้การจราจรในกรุงเทพมหานครรถโล่งมากนะ จริงอยู่ ว่าช่วงนี้ปริมาณฝุ่นจากแหล่งนี้ลดลง แต่ช่วงนี้ฝุ่นจากแหล่งหลักเน้นหนักไปที่การเผาในภาคการเกษตร

การเผาในภาคการเกษตร

ฝุ่นจากแหล่งนี้ จะเป็นปัจจัยหลักตามช่วงเวลาของการจัดการเศษวัชพืชในไร่ และการเก็บเกี่ยวผลผลิต ตั้งแต่เดือน พ.ย.- เม.ย. ไม่ว่าจะเป็นการเผาตอซังข้าว การเผาอ้อยในช่วงฤดูกาลเปิดหีบ การเผาข้าวโพดและการเผาป่าในแถบภาคเหนือ  

ข้อมูลจากสมุดปกฟ้า เครือข่ายอากาศสะอาดประเทศไทย ระบุว่า โดยภาพรวมประเทศไทยมีพื้นที่เผาในที่โล่งแจ้งทั้งจากป่าและพืชเศรษฐกิจหลักประมาณ 39.18 ล้านไร่ ในปี 2562 โดยข้าวนาปี นาปรัง จะเป็นพืชหลักที่พบสัดส่วนการเผามากที่สุด การรายงาน เก็บรวบรวมข้อมูล และการลดการเผาก็ยังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากไม่มีระบบเหมือนกับกับอ้อย ที่มีโรงงานเป็นตัวหลักในการจัดการหรือสามารถตั้งเป้าในการลดในแต่ละปีได้ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพื้นที่ป่ามีการเผาร้อยละ 29.00 57.00 และ 34.00 ของพื้นที่เก็บเกี่ยว

พื้นที่เก็บเกี่ยวและพื้นที่เผาในที่โล่งแจ้งของภาคการเกษตรและป่าไม้ พ.ศ. 2562

ชนิดพืชพื้นที่เก็บเกี่ยว(ไร่)สัดส่วนการเผาต่อพื้นที่พื้นที่เผา(ไร่)
ข้าวนาปี5,939,034029.0017,223,199
ข้าวนาปรัง1,1510,030576,560,717
อ้อย1,1469,28566.287,601,842
ข้าวโพด6,809,84834.002,315,348
ป่า5,478,013
รวม39,179,119

หากดูข้อมูลสัดส่วนของปริมาณอ้อยสดจากโรงงานในประเทศไทยทั้งหมด 57 โรง ในฤดูกาลเปิดหีบ 2563/64 ณ วันที่ 10 ม.ค. 2564 พบว่า สัดส่วนของอ้อยสดปีนี้อยู่ที่ 78.76 % ปริมาณอ้อยไฟไหม้  21.42 %  แม้จะยังต่ำกว่าเป้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเอาไว้ที่อ้อยไฟไหม้ 20 % แต่ปีนี้พื้นที่การปลูกอ้อยและผลผลิตลดลงเนื่องจากภัยแล้ง 

โรงงานอุตสาหกรรม 

ถ้าอ้างอิงข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ การปล่อยฝุ่นจากแหล่งนี้น้อยกว่า 2 แหล่งแรก แต่ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ การวัดปริมาณฝุ่นที่ปลายปล่องของโรงงานอุตสาหกรรมที่จัดว่าเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ จะยังไม่มีการวัดฝุ่น PM 2.5 ยกเว้นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีการติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดบ้างแล้วแต่ไม่มาก เช่น โรงงานไฟฟ้า ส่วนโรงงานอื่น ๆ ก็จะเป็นเพียงการวัดฝุ่นรวมเท่านั้น 

โรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษในบ้านเรา ช่วงระยะ 3-4 ปี ให้หลัง ขยายตัวและเติบโตในพื้นที่ภาคตะวันออก แหล่งสร้างเม็ดเงินจากการลงทุนอุตสาหกรรมอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ก็คือโรงงานประเภทรีไซเคิล ซึ่งโรงงานที่จำกัดด้วยคำนี้มีวัสดุที่นำมารีไซเคิลหลากหลาย เช่น โลหะ พลาสติก ของเสียประเภทของเหลว  และอื่น ๆ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ปี 2560 ระบุว่าโรงงานหลอม และ ผลิตโละ ปล่อยสารไดออกซิน 37.0 I-TEQ  และถ้ารวมทุกแหล่งกำเนิด พบสารชนิดนี้ถูกปล่อยออกมารวมทั้งสิ้น 1,303 I-TEQ

โดย 2 แหล่งแรกที่ปล่อยมากที่สุด ยังเป็น การเผาขยะและเผาในที่โล่งแจ้ง ข้อเสนอของมูลนิธิบูรณะนิเวศ ในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม คือ การใช้กฎหมายติดตาม รายงานการปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม หรือ เรียกว่า กฎหมาย PRTR ซึ่งยังอยู่ระหว่างการผลักดันเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภา หากมีกฎหมายฉบับนี้ จะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมต้อรายงานการปล่อยมลพิษในแต่ละปี เปิดเผยสู่สาธารณะอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ลดความขัดแย้งและปัญหาการปนเปื้อนของชุมชนที่อาศัยในพื้นที่อุตสาหกรรม 

การเผาป่า 

ปัญหาไฟป่าเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในภาคเหนือ ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562-31 ก.ค. 2563 พบว่าจุดความร้อนที่พบในเขตป่าของ 9 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 88,808 จุด โดยพบในเขตป่ามากที่สุด จำนวน 79,820 คิดเป็นร้อยละ 90 แยกเป็นป่าธรรมชาติ 72,390 จุด คิดเป็นร้อยละ 82 พื้นที่เกษตรกรรมในเขตป่า จำนวน 7,430 จุด คิดเป็นร้อยละ 8

เดโช ไชยทับ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ระบุว่า ปัญหาไฟป่าในภาคเหนือ มีความซ้อนทับกับวิถีชีวิต และภูมิปัญญาของการทำเกษตรและลักษณะทางกายภาพของพื้นที่  ดังนั้นการใช้จุดความร้อนเป็นตัวกำหนดการตั้งเป้าการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถสะท้อนถึงความพยายามของการแก้ไขปัญหา และการปรับตัวของคนในพื้นที่ได้ เช่น มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด  จุดความร้อนเท่ากับศูนย์ 

ขณะที่ปัญหาใหญ่ของคนในพื้นที่ คือ การไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ในการจัดการทรัพยากรป่า ทั้ง ๆ ที่มีชุมชนจำนวนมากอาศัยอยู่ในป่า และพวกเขาคือกำลังสำคัญที่จะช่วยหนุนเสริมเจ้าหน้าที่ในการดูแล อนุรักษ์ และดับไฟป่า การทำงานที่ผ่านมา ที่แยกส่วนและไม่เคยให้อำนาจชาวบ้าน รวมถึงการโอนถ่ายภารกิจสู่ท้องถิ่นที่ไม่เป็นระบบไร้หลักการและแผน ส่งผลให้การจัดสรรงบประมาณ รวมถึง หน้าที่ ไม่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ปี2564 หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม เอกชน และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา จึงร่วมกันทำงานและปรับแผนการตั้งรับ และแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ  โดยเน้นให้ชุมชนกำหนดแผนการบริหารจัดการพื้นที่ เชื้อเพลิง มีงบประมาณสนับสนุนโดยผ่านชุมชนโดยตรงเป็นปีแรก รวมถึง การใช้แอปพลิเคชันร่วมบริหารจัดการเผา โดยใช้ข้อมูลสภาพอากาศเป็นหลักในการอนุญาตการเผา ตามข้อมูลพื้นที่ที่มีการเผาซ้ำซาก พื้นที่เสี่ยง จะได้รับการจัดการและทำงานเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น 


อ้างอิง

สมุดปกฟ้าอากาศสะอาด

Author

Alternative Text
AUTHOR

อรุชิตา อุตมะโภคิน

ตามหาความเสมอภาคผ่านงานทั้งศาสตร์และศิลป์ พยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์รอบตัว

Alternative Text
GRAPHIC DESIGNER

กษิพัฒน์ ลัดดามณีโรจน์

ผู้รู้ | ผู้ตื่น | ผู้แก้งาน ...กราบบบส์