โลกร้อนเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่า ถ้าช้ากว่านี้โลกอาจจะรวนเกินเยียวยา มีผลทำให้หลายประเทศต้องเร่งประกาศเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน เช่นเดียวกับประเทศไทย แต่เป้าหมายไม่ได้พูดแค่เอาเท่ สิ่งสำคัญคือกระบวนการที่จะพาไปถึง
The Active รวบรวมความเคลื่อนไหวทั้งกลไกภาครัฐ การกำกับควบคุม โอกาสในตลาดคาร์บอน ไปจนถึงแนวทางการประเมินคาร์บอนที่เริ่มได้ตั้งแต่ตัวเรา
ยกเครื่องกลไกรัฐ แก้ปัญหาโลกรวน
World Economic Forum และธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าข่ายเสี่ยงสูงจากวิกฤตภูมิอากาศ เนื่องจากมีพื้นที่ส่วนใหญ่พึ่งพาเกษตรกรรม มีแรงงานในภาคเกษตร 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด ราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรมีสัดส่วน 21% ในตะกร้าเงินเฟ้อไทย และเศรษฐกิจไทยยังขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศมีผลโดยตรงต่อภาคการเกษตร และทรัพยากรทางธรรมชาติ
หากทบทวนผลการประเมินความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ปี 2543-2562 เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ 0.82% ของ GDP เป็นอันดับที่ 9 ของโลก ปี 2554 งบประมาณฟื้นฟูจากอุทกภัย 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ปี 2563 เกิดภัยแล้งยาวนาน ปริมาณน้ำในเขื่อนลดลง 33% กระทั่ง ปี 2564 ยังเกิดน้ำท่วมภาคเหนือและภาคกลาง ทำให้พื้นที่เกษตรเสียหายอย่างน้อย 6 แสนไร่
“อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นราว ๆ 1.5 องศา หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้านผลกระทบพบว่า ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 48 เซนติเมตร เกิดความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำในแถบเมดิเตอเรเนียน ออสเตรเลีย บราซิล และเอเชีย ด้านอาหาร ประสบปัญหาการผลิต ข้าวสาลี ข้าวโพด และถั่วเหลือง ด้านพืชและสัตว์ พบว่า 9 ใน 10 ของแนวปะการังได้รับความเสี่ยงจากการถูกทำลาย ซึ่งหากว่าไม่สามารถรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ หรือหากอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่านี้ ผลกระทบจะรุนแรงมากขึ้น และอาจทำให้ครึ่งหนึ่งของพืชและสัตว์ท้องถิ่นสูญพันธุ์”
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
เพื่อแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ช่วงเวลานี้ภาครัฐจึงเร่งดำเนินการวางกลไกการจัดการในทุกระดับ เริ่มจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังจะเปิดตัว ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานกลาง ในการส่งเสริมสนับสนุน ขับเคลื่อนและเชื่อมโยงกิจกรรมต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เช่น ข้อมูลการลดและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ข้อมูลความเสี่ยงเชิงพื้นที่ ที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และระดับนานาชาติ รวมถึงเป็นศูนย์เรียนรู้และสื่อสารข้อมูลองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับประเทศ ที่มีการติดตาม พยากรณ์และคาดการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการแจ้งเตือน การแก้ไขปัญหา การรับมือ และการปรับตัวกับความเสี่ยงเชิงพื้นที่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นฐานข้อมูลรัฐให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้
ขณะที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนชื่อ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 สำหรับกรมนี้ มีพันธกิจในการบรรลุเป้าหมายชาติ สู่สังคมคาร์บอนต่ำ มีบทบาทในการขับเคลื่อนภารกิจตามยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐ เพิ่มประสิทธิภาพเข้าถึงการเงิน เทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นการปรับตัวเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับทุกภาคส่วนและทุกระดับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
และเป็นการแสดงให้ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ได้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทย ในการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 หรืออีก 27 ปีข้างหน้า และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 หรืออีก 42 ปี ดังที่ได้ประกาศไว้บนเวทีการประชุม COP27
นอกจากนี้ยังมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ…. เพื่อเป็นกลไกทางนิติบัญญัติในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยเนื้อหาประกอบด้วย 8 หมวดสำคัญ 56 มาตรา ว่าด้วยเรื่องกฎระเบียบของคาร์บอนเครดิต พัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิต เพิ่มช่องทางการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก สร้างการตระหนักรู้ทุกภาคส่วนร่วมกัน และจัดทำมาตรการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศใช้ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ เรื่องภาคีคาร์บอนยังต้องผ่านกระทรวงการคลัง ในการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีคาร์บอนสำหรับผู้ที่ปล่อยคาร์บอนสูงและไม่มีแนวทางที่จะดูดซับคาร์บอนหรือไม่มีเครดิตคาร์บอนเพียงพอที่จะทดแทน จะเรียกว่า carbon tax ซึ่งคาดว่าจะสามารถกำหนดอัตราภาษี ภายในปี 2566
เกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่า หลังจากนี้นโยบายของไทยและการดำเนินการของรัฐจะจริงจังกับการแก้ไขปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ไทยจำเป็นที่จะต้องนำหลักการมาบรรจุผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ ฉบับที่ 13 รวมไปถึงแผนการดำเนินงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและแนวทาง Net Zero ที่ไทยประกาศกับนานาชาติ ไว้ว่าภายในปี 2030 จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 30-40 จากการดำเนินการตามปกติ จะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน คือ การที่ปริมาณการปล่อยคาร์บอน (CO2) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่ถูกดูดซับกลับคืน) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
“สำหรับประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 30-40 จากการดำเนินการตามปกติ จะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 การที่ประเทศเราแสดงเจตจำนงค์แบบนี้จะช่วยกระตุ้นเรื่องการลงทุนภายในประเทศมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องกลับมาดำเนินการภายในประเทศของเราเอง สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระยะแรกคือร้อยละ 20-25 เราอาจจะทำได้ แต่ถ้าเราจะลดการปล่อยให้ได้มากกว่านั้น ก็อาจจะต้องอาศัยการสนับสนุนอนุเคราะห์จากประเทศอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุน เทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่าน ขณะเดียวกันการจะเป็น Net Zero ได้ก็ต้องได้รับการสนับสนุนเช่นกัน”
เกียรติชาย อธิบายว่า การประเมินผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบว่า ภาคส่วนใดบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปล่อยคาร์บอน หรือที่เรียกว่า รอยเท้าคาร์บอน (carbon footprint) เพื่อจัดทำเป็นรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศเผยแพร่สู่เวทีโลกต่อหนึ่ง จากการเข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) ที่จัดขึ้นในทุกปี
“สำหรับประเทศไทย ผลการประเมินกรปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งล่าสุด ปี 2018 พบว่า มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดกว่า 370 ล้านตัน และสามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ 86 ล้านตัน เท่ากับว่าปล่อยสุทธิอยู่ราวๆ สองร้อยล้านกว่าๆ ซึ่งต้องเอาเรื่องนี้ไปรายงานต่อที่ประชุมนานาชาติว่าแต่ละปีแต่ละประเทศนั้นปล่อยคาร์บอนกันเท่าไหร่บ้าง ตอนนี้ไทยอยู่ในลำดับที่ราว ๆ 19-20 จากทั่วโลก แต่เราได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ในระดับ 9 ของโลก เพราะภูมิศาสตร์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรที่มีความอ่อนไหวสูง สำหรับในประเทศเราก็พยายามส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนได้มีการวางแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนทุกระดับ”
สำหรับศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนในของไทย มาจากป่าชายเลน ป่าธรรมชาติ ป่าในเมือง มีการประเมินว่าหากได้รับการฟื้นฟู และเติมพื้นที่ป่าต่างๆ เข้าไปอีก จะสามารถดูดซับได้สูงสุด 120 ล้านตันคาร์บอน ขณะเดียวกันก็ต้องไปลดการปล่อยคาร์บอนจากต้นทางด้วย ทั้งเรื่องของพลังงานไฟฟ้า อุตสาหกรรม และภาคการเกษตร
“ซึ่งปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ก็ได้มีข้อกำหนดแล้วว่าแต่ละองค์กรที่ขึ้นทะเบียนจะต้องทำรายงานการปล่อยคาร์บอน ความสามารถในการดูดซับคาร์บอนภายในหน่วยงานแต่ละแห่งด้วย แม้แต่การขายของจะต้องมีการประเมินว่ากว่าจะผลิตออกมามีต้นทุนทางทรัพยากรอย่างไร ปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ หรือกิจกรรมต่างๆ ก็จะต้องรายงานเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งหมดนี้ อบก. จะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการประเมิน”
คาร์บอนเครดิต คืออะไร?
“คาร์บอนเครดิต” คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด หรือกักเก็บได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปแลกเปลี่ยนหรือซื้อ-ขายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็น การนำไปปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการดำเนินงานไปรายงาน การนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กร บุคคล งานบริการ หรือจากการผลิตผลิตภัณฑ์ ต่างๆ
เกียรติชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาคาร์บอนเครดิต มีจุดเริ่มต้นจากการตื่นตัวในการสร้างสมดุลให้ชั้นบรรยากาศของโลกของนานาประเทศผ่านพิธีสารโตเกียว (Kyoto Protocol) ในปี 1997 ให้ประเทศพัฒนาแล้ว 37 ประเทศ (Annex 1) จะต้องลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกลง โดยจะมีการออกกฎหมายกำหนดระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละปี และเริ่มใช้มาตรการทางภาษีกับผู้ที่ปล่อยก๊าชเรือนกระจกเกินระดับที่กำหนด ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ร่วมลงนามรวมถึงประเทศไทยจะต้องใช้ความพยายามในการลดก๊าชเรือนกระจก
ต่อมาในการประชุมที่กรุงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี 2015 นานาชาติได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายในการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มก่อนยุคก่อนอุตสาหกรรมอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียล และยังกำหนดหลักการซื้อขายก๊าชเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) โดยอนุญาตให้ผู้ที่ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมาย สามารถขายสิทธิ์การปล่อยก๊าชเรือนกระจกที่เหลือให้แก่ผู้อื่นได้ หรือ “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งหลักการนี้ เป็นจุดกำเนิดของการประเมินมูลค่าของคาร์บอนเครดิตที่มีหน่วยเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide) จำนวน 1 ตัน เป็นตัวเงินเพื่อซื้อขายระหว่างบริษัท จนเกิดเป็นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั่วโลก
การเปิดให้มีการซื้อขายหรือมีตลาดคาร์บอนเครดิตช่วยทำให้ต้นทุนในการลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกของอุตสาหกรรมลดลง เพราะโรงงานแต่ละแห่งมีต้นทุนในการลดก๊าชเรือนกระจกไม่เท่ากัน แทนที่จะให้โรงงานทุกแห่งลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้น ก็ให้โรงงานที่มีต้นทุนต่ำทำหน้าที่ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกในปริมาณสูง และนำคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นไปขายให้กับโรงงานที่มีต้นทุนสูง ทำให้ปริมาณก๊าชเรือนกระจกในภาพรวมลดลงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำลง
ซึ่งการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การซื้อขายแบบที่ได้รับการรับรองโดยกฎหมาย (Mandatory Basis) ซึ่งมักจะเกิดในประเทศพัฒนาแล้วที่ลงนามในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารโตเกียว เช่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศเหล่านี้จะมีข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมักจะมีการอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ซื้อมาหักล้างกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนปล่อยออกไป เพื่อทำให้โดยรวมแล้วระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เกินที่กฎหมายกำหนดไว้
ปัจจุบันมีตลาดกลางหรือตลาดอนุพันธ์หลายแห่งที่เปิดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เช่น ตลาดอนุพันธ์ ICE (International Continental Exchange), ตลาด Nasdaq และตลาด EEX (European Energy Exchange) สำหรับซื้อขายอีกลักษณะหนึ่งอยู่ในรูปแบบสมัครใจ (Voluntary Basis) คือ ไม่ได้จัดขึ้นภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย แต่เกิดขึ้นตามความสมัครใจของผู้ซื้อและผู้ขาย
สำหรับประเทศไทยได้มีการจัดตั้ง “องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อส่งเสริมโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จัดทำมาตรฐานการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต เชิญชวนให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสนใจและมีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกเข้ามาขึ้นทะเบียน รวมทั้งส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง
นอกจากนี้ องค์กรและบริษัทเอกชนขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต กลุ่ม ปตท. ฯลฯ เล็งเห็นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและให้ความสนใจกับคาร์บอนเครดิตมากขึ้น โดยมีการนำโรงงานที่ใช้พลังงานสีเขียวไปขึ้นทะเบียนตามมาตรฐานคาร์บอนเครดิต และมีการพัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนและระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตของตนเอง แต่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยยังเป็นการซื้อขายโดยสมัครใจ การซื้อขายจึงจำกัดอยู่ระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่ (B2B)
ตลาดคาร์บอนในไทย
ปัจจุบัน องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ได้จัดตั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย หรือ Thailand Carbon Neutral Network เพื่อส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคท้องถิ่น/ชุมชน ในการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันประกอบด้วยองค์กรผู้ริเริ่มด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก 460 องค์กร องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก 91 องค์กร และองค์กรผู้พัฒนานวัตกรรมด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก ทั้งหมด 4 องค์กร ร่วมศึกษาความเป็นไปได้ แนวทางการดำเนินงาน และการประกาศเป้าหมายคาร์บอนนิวทรัลในระดับองค์กรและสร้างมูลค่าเพิ่มจากการรับรองและแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายในประเทศภายใต้เครือข่ายฯ
“คนที่ทำธุรกิจแล้วการปล่อยคาร์บอนน้อยก็จะได้เครดิต คนที่เปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์ดีเซลเป็นไฟฟ้า คนที่เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มป่า คนที่หาวิธีการดูดซับคาร์บอนได้จะมีเครดิต ซึ่งเอามาขายให้กับคนที่ไม่สามารถจะลดการปล่อยคาร์บอนได้ แปลว่าบริษัทต่างๆ จะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และจะถูกกดดันมากขึ้นจากผู้ที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ที่จะมาซื้อของ ผู้ที่จะส่งออก ผู้ที่จะมาท่องเที่ยว จัดประชุมสัมมนา จะต้องทำรายงานเรื่องนี้หมดเลย และจะต้องมีแนวทางที่จะชดเชยคาร์บอนของตัวเองด้วย เพื่อบอกฉันมีส่วน ขณะเดียวกันจะเป็นโอกาสของคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานทดแทน ธุรกิจหมุนเวียน จะเป็นโอกาสใหม่ในการลงทุน นอกจากจะได้รายได้จากธุรกิจยังได้เครดิตสูงสุด”
เกียรติชาย กล่าวว่า ปัจจุบัน อบก. มีการจัดทำมาตรฐาน ที่ชื่อ T-VER มีชื่อเต็มว่า โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) เรียกย่อว่า T-VER (อ่านว่า ที-เวอ) ซึ่งเป็นกลไกที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน ภาคอุตสาหกรรมที่มีกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการของเสีย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก การจัดการในภาคขนส่ง รวมถึงการปลูกต้นไม้และการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นอกจากจะช่วยกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้แล้วยังสามารถรักษาและสร้างสมดุลของความหลายหลายทางชีวภาพได้อีกด้วย
โดย อบก. จะเป็นผู้ให้การขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER และรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากโครงการ T-VER โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ จะเรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งสามารถนำไปใช้รายงาน ใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กร บุคคล การจัดงานอีเว้นท์ และจากการผลิตผลิตภัณฑ์ ได้
ยกตัวอย่างเช่น คาร์บอนเครดิตจากกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ที่ใช้ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศพัฒนาแล้วที่มีพันธกรณีต้องลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารเกียวโตกับประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาที่ดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไก CDM คาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ที่ TGO ให้การรับรอง เป็นต้น
“ปัจจุบันมี 350 โปรเจกต์ ขึ้นทะเบียนการขายคาร์บอนเครดิตกับ T-VER และมี 146 โปรเจคส์ ที่ได้รับการรับรองทะเบียนขายคาร์บอนเครดิตแล้ว ตามมาตรฐาน Measurable, Reportable and Verifiable (MRV) ผ่านบอร์ดเรา ซึ่งใบรับรองนี้สามารถเปลี่ยนมือได้ ซื้อขายได้ เหมือนโฉนด และสามารถซื้อขายโดยกำหนดราคากันเอง ซึ่งเรากำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะซื้อขายได้สะดวก กำลังทำข้อตกลงกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการเสนอซื้อ-ขาย รวมไปถึงการจัดทำมาตรฐาน T-VER standart เพื่อให้ได้รับการยอมรับในระดับประเทศด้วย นอกจากนี้สิ่งที่ต้องติดตามคือ มาตรฐาน CBAM หรือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EU”
เกียรติชาย ย้ำว่า องค์กร หน่วยงาน หรือภาคธุรกิจการค้าต่างๆ จะต้องให้ความสำคัญกับการวัดค่าการปล่อยคาร์บอนของตัวเองด้วยมาตรฐานโลก ต้องมีการจัดทำรายงาน หากปล่อยคาร์บอนเกินก็ต้องซื้อเครดิต เพราะถ้าไม่มีคาร์บอนเครดิตมาช่วยก็จะดำเนินธุรกิจต่อไปไม่ได้ แปลว่าตลาดคาร์บอนก็จะเติบโตขึ้น เพราะก็ต้องมีโปรเจคส์ในตลาดคาร์บอนมาให้ซื้อ และต้องมีโปรเจคส์ที่หลากหลายมาให้เลือก ราคาที่ไม่เท่ากัน มาตรฐานที่ต่างกัน
“ความสำคัญของตลาดคาร์บอนจะมีมากขึ้น จากที่เป็นภาคสมัครใจเฉยๆ จะต้องกลายเป็น business model เพราะถ้าไม่ทำ แบงค์จะไม่ให้กู้ นักลงทุนไม่ร่วมด้วย และมีต้นทุนรุมเร้าเต็มไปหมดหากยังนิ่งเฉยต่อการปล่อยคาร์บอน และถ้ามีแผนระยะยาวในการลดคาร์บอนลงเรื่อยๆ ก็จะดูดี นี่คือการอยู่รอดของการทำธุรกิจ ต่อนักลงทุน ต่อผู้ให้กู้ ต่อผู้ซื้อ ถ้าปล่อยเยอะก็อาจจะโดนค่าปรับได้ ตอนนี้ถ้าสายการบินจะบินได้ต้องมีเครดิตมาชดเชยเช่นกัน”
กระบวนการติดตามคาร์บอนฟุตพริ้นท์
ศ.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การคำนวนปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะเป็นคำตอบที่ทำให้ทราบว่าใครปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ อยู่ในกระบวนไหนบ้าง ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
- คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของมนุษย์ (Daily activity) คือ ปริมาณรวมของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น การเดินทาง การใช้พลังงาน และรับประทานอาหาร ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ล้วนก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น
- คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products: CFP) คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลิดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต/การประกอบชิ้นงาน การกระจายสินค้า การใช้งาน และการจัดการของเสียหลังหมดอายุการใช้งาน รวมถึงการขนส่งที่เกี่ยวข้อง
- คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization: CFO) คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยและดูดกลับจากกิจกรรมขององค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนสถานที่ทำงาน โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
- คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของประเทศ (Country) คือ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับประเทศ ซึ่งจะมีการคำนวณว่าแต่ละประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมามากหรือน้อยเพียงใด
Carbon Footprint = Activity data X Emission Factor
Activity data คือ ข้อมูลกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ ที่มีหน่วยวัดชัดเจน Emission Factor คือ ค่าสัมประสิทธิ์การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือค่าคงที่ที่ใช้เปลี่ยน Activity data ให้เป็นค่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ชวนทุกคนมาชวนกันดูว่าแต่ละวันปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ โดยปกติจะอยู่ราวๆ 15 กิโลคาร์บอนต่อวัน สำหรับคนเมือง 40-50 กิโลคาร์บอนต่อวัน อาจจะเริ่มจากการวัดเรา จากนั้นประเมินที่ผลิตภัณฑ์ ถ้าของคุณภาพเดียวกัน ราคาพอๆ กัน แต่เราอาจจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า แปลว่าการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าก็จะเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า”
ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ที่เริ่มได้จากตัวเรา บ้านของเรา หน่วยงานของเรา องค์กรของเรา และจะนำไปสู่ประเทศของเรา ซึ่งถ้ากลับมาถามว่าอีกไกลแค่ไหนจึงจะใกล้เป้าหมาย net zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยระยะเวลาก็อีกกว่า 40 ปี แต่ถ้าถามเชิงปฏิบัติก็ยังไม่ใกล้อยู่ดี แต่ถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาล พิจารณาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.โลกร้อน หน่วยงานองคาพยพต่างๆ ขับเคลื่อน ทั้งศูนย์การเปลี่ยนแปลสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรฐานต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ก็คงจะได้เห็นความชัดเจนมากขึ้น และยิ่งทำได้เร็ว ทำได้ไวเท่าไหร่ ก็จะเป็นโอกาสในเวทีโลกเช่นกัน