8 แนวโน้ม ผลกระทบ และการเตรียมรับมือ การระบาดรอบที่สองของ COVID-19

เป็นธรรมชาติของโรคระบาด โดยเฉพาะโรคที่ระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ที่จะมีการระบาดหลายระลอก โรคโควิด-19 ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้นในหลายประเทศ สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามว่าแล้วประเทศไทยจะมีการระบาดระลอกสองหรือไม่ ถ้ามีจะเกิดจากสาเหตุใด เกิดที่ไหน ความรุนแรงจะมากกว่าหรือน้อยกว่าเดิม และประเทศไทยควรรับมืออย่างไร ควรเปิดประเทศหรือปิดไปเรื่อย ๆ ฯลฯ จากการประเมินความเสี่ยงของกระทรวงสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และสาธารณสุขส่วนใหญ่ พอจะประมวลความเห็นโดยสังเขป ดังนี้

โอกาสเกิดการระบาดรอบสอง

ในที่นี้หมายถึงว่ามีการติดเชื้อโควิดเกิดขึ้นในประเทศไทย  ไม่ได้หมายถึงการติดเชื้อจากประเทศอื่น  แม้ว่าประเทศไทยจะไม่พบการติดเชื้อในประเทศมานานเกือบสองเดือน  แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดขึ้น  ตัวอย่างมีให้เห็นในหลายประเทศที่ไม่พบการติดเชื้อหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน  แต่ในที่สุดก็เกิดการติดเชื้อและมีการระบาดขึ้นอีก เช่น จีน  ฮ่องกง หรือประเทศที่ควบคุมได้ดีในระยะแรกก็เกิดการระบาดใหม่เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ฯลฯ   ประเทศไทยเองก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการระบาดระลอกสองในครึ่งปีหลัง

สาเหตุการระบาดระลอกสอง

ในต่างประเทศการระบาดระลอกใหม่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการรวมตัวของผู้คนในสถานบริการเริงรมย์ (เกาหลี ญี่ปุ่น) หอพักแรงงานต่างชาติ (สิงคโปร์) สถานที่ปิดและคนแออัด เช่น ตลาดอาหารขนาดใหญ่ (จีน)  สำหรับประเทศไทย  มีการวิเคราะห์ว่าการที่ประเทศไทยไม่พบคนไทยติดเชื้อในประเทศเป็นเวลาสองเดือน เป็นเครื่องชี้ว่าภายในประเทศน่าจะมีคนที่ติดเชื้อน้อยมาก ๆ หรืออาจไม่มีแล้ว  การติดเชื้อใหม่น่าจะเกิดจากการนำเข้า  โดยที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงการนำเข้าทั้งทางบก ทางน้ำ และการเดินทางอากาศ เพราะ

  • ประเทศไทยไม่ได้เป็นเกาะแยกขาดจากคนอื่น (เหมือนไต้หวันที่ยังไม่เกิดการระบาดระลอกสอง)  แม้ว่าเราจะควบคุมการเข้าออกของผู้คนที่มาทางน่านฟ้าได้ด้วยการจำกัดเที่ยวบิน  แต่เรามีพรมแดนทางธรรมชาติ ติดกับประเทศเพื่อนบ้านรอบทิศ  และมีแนวชายฝั่งที่ยาวเหยียด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำการจับผู้ลักลอบเดินทางเข้าประเทศแบบผิดกฎหมายวันละเป็นหลักร้อย ที่ไม่สามารถจับกุมได้คงอีกหลายเท่า ขณะนี้การระบาดทางทิศตะวันตก อันได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ยังรุนแรงมาก หากลุกลามเข้าเมียนมา ประเทศไทยคงลำบาก สำหรับน่านน้ำ เรามีเรือประมงไทยหลายพันลำพร้อมลูกเรือที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติออกไปหาปลาถึงประเทศไกล ๆ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย มหาสมุทรอินเดีย และยังมีผู้คนอพยพทางทะเลมุ่งมาไทย  
  • เพื่อแก้ไขปัญหาคนตกงาน  ไม่ใช่เพื่อการทำกำไรหรือเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเดิม เราจำเป็นต้องเปิดประเทศอย่างแน่นอนให้นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว เข้ามาบ้าง  แม้จะเป็นความเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่จำเป็นและจัดการได้ถ้ามีกระบวนการและการเตรียมการที่ดีในช่วงจังหวะที่เหมาะสม

จังหวัดที่จะเกิดการระบาด 

คงไม่แตกต่างจากรอบแรกมาก จังหวัดที่จะเริ่มพบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศมีประมาณ  15 จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางการเดินทาง  การค้าขาย การผลิต  เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล   จังหวัดที่มีท่าอากาศยานนานาชาติและเป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆเช่น ภูเก็ต ขลบุรี  เชียงใหม่ ชายแดนสำคัญทางใต้ ตะวันตก และตะวันออก  เรามีด่านช่องทางเข้าออกต่างประเทศถึง  68 แห่ง 

ความรุนแรง 

ทางหลักวิชาระบาดวิทยานั้น  การระบาดและความรุนแรงมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสามปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรก คือ ตัวเชื้อโรค ปัจจัยที่สอง คือ พฤติกรรมและภูมิต้านทางของประชาชน และปัจจัยที่สาม คือ ระบบของสังคมและมาตรการด้านต่าง ๆ ว่าเข้มแข็งหรืออ่อนแอ     

ปัจจัยในด้านตัวเชื้อ SAR-CoV-2  นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติเป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ ล่าสุดสายพันธ์ D614G เป็นสายพันธ์หลักไม่ใช่สายพันธุ์ที่แรกเริ่มจากจีน  อาจมีสมมุติฐานว่าสายพันธ์ใหม่นี้ติดง่ายขึ้นจากการสังเกตในห้องปฎิบัติการ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าความรุนแรงของตัวโรคจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง  แบบแผนของการติดเชื้อในหลายประเทศ พบว่าคนติดเชื้อเริ่มเป็นคนอายุน้อยลงซึ่งทำให้ไม่ค่อยมีอาการรุนแรง  ปัจจัยด้านตัวเชื้อในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องคุกคามที่สำคัญ 

ปัจจัยในด้านพฤติกรรม  แม้ว่าเราจะมีคนลักลอบเข้าเมืองพอควร  แต่คนไทยและแรงงานอพยพให้ความร่วมมือในด้านการสวมหน้ากาก ล้างมือ อย่างดี เจ้าของกิจการต่าง ๆ กวดขันมาตรการเหล่านี้ โรงงานให้ความร่วมมือ โดยภาพรวมพฤติกรรมการป้องกันตนเองยังใช้ได้แต่ก็สามารถทำได้มากขึ้น ทำให้เบาใจว่าการระบาดระลอกใหม่ไม่น่าจะรุนแรงกว่าเดิม 

ปัจจัยด้านระบบสังคมสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์จากการระบาดรอบแรกทำให้วงการแพทย์และวงการ สาธารณสุขเพิ่มความพร้อมทั้งในด้านสถานที่ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ ห้องปฎิบัติการ แนวทางการดูแลรักษา และการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและคณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  แต่ที่สำคัญสุดคือสังคมส่วนรวมและทุกกลไกของรัฐให้ความสำคัญและสนับสนุนการควบคุมโรค (Whole government and whole society response) อย่างสุดตัว นับเป็นสาเหตุสำคัญที่ประเทศไทยควบคุมการระบาดได้ดี  หากเรายังรักษาความเป็นหนี่งเดียวกันได้  การระบาดระลอกสองจะไม่รุนแรงเหมือนรอบแรก

การเปิดประเทศจะทำให้เกิดการระบาดใหญ่หรือไม่

แม้จะพยายามกระตุ้นให้คนไทยลงทุน จับจ่ายใช้สอย ท่องเที่ยว เพื่อให้วงล้อเศรษฐกิจเริ่มหมุน แต่ลำพังการใช้จ่ายของคนไทยที่พอมีกำลังซื้อคงไม่พอที่จะสร้างงานและฉุดให้ประเทศไทยหลุดออกจากวิกฤตเศรษฐกิจ  ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องพี่งการลงทุนจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยวโดยชาวต่างประเทศในอัตราที่สูง  เราจึงต้องยอมรับว่าไม่สามารถปิดประเทศในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นปีจนกระทั่งสถานการณ์โควิดสงบลงทั่วโลกหรือรอจนมียาหรือวัคซีนที่ลดการติดเชื้อ  หนทางที่ควรทำคือการวางแผนเปิดประเทศอย่างปลอดภัยเหมือนที่เราทำสำเร็จมาแล้วในเรื่องการเปิดเมืองปลอดภัย  

ขณะนี้ ภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยวได้ยกร่างมาตรการที่สามารถลดความเสี่ยงลงได้  เช่น การเริ่มรับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญที่มาอยู่ระยะยาว นักศึกษาขาวต่างชาติที่มาเรียนเป็นปี  ตามด้วยการท่องเที่ยวที่จำกัดจำนวนคนและเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ทำความตกลงกับประเทศคู่เจรจา มีการตรวจการติดเชื้อที่ประเทศต้นทางสามวันก่อนเดินทาง มีการประกันสุขภาพ ตรวจการติดเชื้อเมื่อเดินทางมาถึง การเข้าระบบกักตัวระยะสั้นหรือระยะยาวตามระดับความเสี่ยงของแต่ละประเทศต้นทาง การมีระบบติดตามการเดินทาง การควบคุมกำกับให้ปฎิบัติตัวในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา  และการงดเว้นการท่องเที่ยวสถานบันเทิง ฯลฯ

วิธีการเหล่า นี้สามารถสร้างความปลอดภัยได้  รัฐบาลควรตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างภาคการค้า ภาครัฐ และนักวิชาการ เพื่อออกแบบให้มีความเสี่ยงต่ำสุด  ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดการระบาดใหญ่

นักวิชาการของกรมควบคุมโรคและนักวิจัยจากมหิดล  ได้ทำการจำลองสถานการณ์และพบว่าหากมีกรณีที่ผู้ติดเชื้อหลุดลอดผ่านการเฝ้าระวังเข้ามาวันละหนึ่งถึงสองราย  ด้วยมาตรการที่มีอยู่จะไม่เกิดปัญหาเกินความสามารถที่จะรองรับได้

เป้าหมายการรับมือการระบาดระลอกต่าง ๆ ที่จะตามมา

 การยอมรับความจริงและเตรียมตัวของประชาชนทั้งประเทศและการมีเอกภาพในการควบคุมการระบาดจะช่วยให้ผลกระทบของรอบสองไม่รุนแรงเหมือนรอบแรก  เริ่มด้วย เอกภาพในการกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ที่มิได้เน้นให้ผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์หรือไม่มีการติดเชื้อในประเทศเลย  แต่เน้นควบคุมให้มีการติดเชื้อในระดับต่ำที่มีผลกระทบน้อย ( Low transmission and low damage)  การติดเชื้อในระดับต่ำอาจมีตัวชี้วัดสองตัวคือ  จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่เกินกี่คนต่อประชากรหนึ่งล้านคนต่อสัปดาห์  และจำนวนเตียงดูแลผู้ป่วยโควิดที่อาการรุนแรง/วิกฤต ที่ยังว่างอยู่  ขณะนี้กำลังมีการกำหนดเป้าหมายนี้เป็นรายจังหวัดเพื่อจัดระดับสถานการณ์และเป็นสัญญาณให้ปรับเพิ่มมาตรการ เช่น ให้ทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น  งดกิจกรรมที่รวมผู้คน ฯลฯ 

ทั้งนี้  ภายใต้การตัดสินของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดที่มีการปรึกษาหารือกับส่วนกลางเพื่อกำหนดมาตรการตามหลักวิชา  

การจัดระดับความรุนแรงของการระบาดในระลอกที่สอง

สามารถคาดคะเนสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยเป็นสี่ระดับ โดยเป็นการจัดระดับรายจังหวัดไม่ควรเป็นภาพรวมทั้งประเทศ

ระดับที่หนึ่งคือ  ในปัจจุบันที่มีแต่ผู้ติดเชื้อจากภายนอกประเทศ ขณะนี้ทุกจังหวัดอยู่ในระดับหนึ่ง 

ระดับที่สอง   มีการติดเชื้อในพื้นที่ประปราย อยู่ในวงจำกัด  สามารถติดตามผู้ป่วยและผู้สัมผัสได้ทุกราย  ถือเป็นการแพร่เชื้อในระดับต่ำที่จัดการได้  ในอนาคตอาจมีบางจังหวัดที่เข้าระดับหนึ่ง  โดยเฉพาะจังหวัดศูนย์กลางการคมนาคม ค้าขาย ท่องเที่ยว

ระดับที่สาม   มีการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนและขยายตัวแต่ควบคุมได้ ที่ต้องระวังคือ  Superspreading events  คือการที่มีคนติดเชื้อจำนวนหนึ่งไปแพร่เชื้อในสถานที่ซึ่งเอื้อต่อการกระจายเชื้อและมีคนจำนวนมากอยู่ด้วยกัน  เช่น ในสถานบันเทิง  หรือสนามมวย ที่เราพบในรอบแรก หรือในหอพักแรงงานต่างชาติ  หรือในเรือนจำที่คุมขัง ฯลฯ  เหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  ประเทศไทยจึงต้องให้ ความสำคัญกับการควบคุม Super spreading event  โดยทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคทุกจังหวัดต้องสามารถสืบหาต้นตอ  ทำการปิดกิจการหรือกิจกรรมเฉพาะที่หรือใกล้เคียง  และควบคุมทุกอย่างให้ได้ภายในสองสัปดาห์  และมีสถานที่สำหรับรองรับการแยกกักผู้สัมผัสเป็นกลุ่มย่อย ๆ ไม่ใช่กลุ่มใหญ่ ๆ จังหวัดที่มีความเสี่ยงต้องเตรียมการให้พร้อมที่จะรองรับเหตุการณ์แบบนี้ที่อาจพบการติดเชื้อวันละหลายสิบราย

ระดับที่สี่   จำนวนผู้ติดเชื้อวิกฤติเกินกว่าที่ระบบสาธารณสุขจะรองรับได้  เนื่องจากไม่สามารถควบคุมหรือสืบทราบได้ว่าจำนวนการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมาจากที่ใด หรือการติดเชื้อกระจายวงกว้างจนสอบสวนและทำการติดตามผู้สัมผัสไม่ทัน อาจจำเป็นต้องทำการล๊อคดาวน์ แต่ก็ควรเป็นเฉพาะพื้นที่อำเภอ  เช่น ที่เกิดขึ้นที่ภูเก็ต  ไม่มีความจำเป็นต้องทำทั้งประเทศ

คาดว่าการระบาดในระลอกที่สองน่าจะเป็นเพียงระดับสองหรืออย่างมากระดับสาม  และเป็นเพียงบางจังหวัด 

ปัจจัยสำคัญที่จะควบคุมให้อยู่ในระดับการแพร่เชื้อต่ำ

  • ประชาชนต้องคงมาตรการส่วนบุคคล อันได้แก่ การสวมหน้ากากผ้า/อนามัยในที่สาธารณะ การล้าง มือ  การมีระยะห่าง  การไม่รวมตัวกันจำนวนมากทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด  ซึ่งมั่นใจว่าเราจะทำเรื่องนี้ได้ดีต่อไป เมื่อสถานการณ์ขยับขึ้นก็ต้องเพิ่มความเข้มขึ้นตามไป
  • การควบคุมโรคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การตรวจพบผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วและนำมาแยกรักษา  การเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยรุนแรงให้เพียงพอ รวมถึงมีหอพักผู้ป่วยโควิดที่อาการไม่มาก (Hospitel)  การค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดและแยกกักเฝ้าดูอาการ (local and state quarantine)  จะต้องคงความเข้มข้นโดยเฉพาะในจังหวัดที่มีป้จจัยเกื้อหนุนการระบาด
  • ปิดกิจกรรมและกิจการที่จำเพาะไม่เหวี่ยงแห  หากเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนและจำเป็นต้องปิดกิจกรรมหรือกิจการหรือสถานที่หรือการรวมตัว  ควรให้จำเพาะที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือมีความเสี่ยงที่ปรากฏชัด  ยกเว้นบางกิจการที่อาจต้องทำอย่างกว้างขวาง เมื่อมีการระบาดระดับสามในจังหวัดใดอาจมีความจำเป็นต้องปิดสถานบันเทิงทั้งหมด หรืองดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดการแพร่ระบาด  และลดปัญหาการบาดเจ็บบนท้องถนนที่ทำให้ต้องมีผู้ป่วยไปห้องฉุกเฉินและใช้เตียงผู้ป่วยวิกฤติเพิ่มขึ้น (มีข้อมูลว่าภายหลังผ่อนปรนให้สถานบันเทิงเปิดได้ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ มีเพียงครี่งเดียวของสถานบันเทิงที่ปฎิบัติตามได้อย่างดี)  
  • การล็อกดาวน์หรือกึ่งล็อกดาวน์ที่ทำในการระบาดรอบแรก จะกระทำก็ต่อเมื่อไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีที่หนึ่งถึงสามตามที่กล่าวมา  มาตรการนี้ควรจำกัดวงให้เล็กที่สุดไม่ครอบคลุมทุกจังหวัดหรือทุกพื้นที่เหมือนที่ผ่านมา  เพราะเป็นมาตรการที่กระทบรุนแรง   
  • ต้องมีกลไกในการซักซ้อมการควบคุมการระบาด เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่เหมาะสมพอดีมีเหตุผล  จากเหตุการณ์ที่พบผู้ติดเชื้อในทหารอียิปต์ที่แวะมาพักที่ระยองเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม  ทำให้เห็นว่าเรายังมีจุดอ่อนในเรื่องการใช้มาตรการที่เกินความจำเป็นและสร้างความเสียหาย เช่น การปิดโรงเรียนหลายร้อยแห่ง  การตีคลุมว่าจังหวัดระยองเป็นแหล่งแพร่โรค  ใครไประยองมาถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง

โดยสรุป

มีโอกาสมากที่จะเกิดการระบาดระลอกสองในประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ควรยอมรับว่าไม่สามารถทำให้ประเทศไทยปลอดการติดเชื้อและคงตัวเลขศูนย์ได้ตลอดไป  เพราะถ้าตั้งเป้าแบบนั้นเราต้องปิดประเทศปิดพรมแดนตลอด  ถึงแม้จะปิดก็ยังมีโอกาสหลุดรอดเข้ามา แต่เราสามารถควบคุมให้การแพร่เชื้ออยู่ในระดับต่ำ (low transmission) และมีผลเสียหายน้อย ( Low damage)  สามารถเปิดประเทศอย่างปลอดภัยเหมือนที่ช่วยกันเปิดเมืองอย่างปลอดภัยสำเร็จมาแล้ว   ด้วยการคงมาตรการที่ดีไว้และละเว้นมาตรการที่เกินความจำเป็น  มีการจัดระดับสถานการณ์และเตือนให้สังคมรับรู้ว่าต้องทำอะไรเพิ่มหรือต้องไม่ทำอะไร สิ่งเหล่านี้เกิดได้จากการทำให้ประชาชนทั้งหมดและทุกส่วนราชการมีเป้าหมายและข้าใจตรงกัน  ร่วมมือกันเพื่อรับมืออย่างเป็นเอกภาพ  ซี่งเชื่อว่าทำได้อย่างแน่นอนและประเทศไทยจะสามารถรับมือกับการระบาดระลอกสองหรือระลอกอื่นๆได้อย่างสมดุลย์ทั้งมิติด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ

ร่วมจัดทำโดย

นพ.คำนวณ อึ้งชูศํกดิ์  ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์  อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ประกอบการเสวนา Virtual Policy Forum: “เตรียมพร้อมอย่างไรกับการระบาดรอบที่สองของ Covid-19”
วันที่  22 กรกฎาคม 2563  ณ สถานีไทยพีบีเอส
จัดโดยศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ (The Active) ThaiPBS และสำนักข่าว Hfocus

Author

Alternative Text
นักเขียน

The Active

กองบรรณาธิการ The Active