แนะรัฐ สร้างระบบการออม ขยายเวลาเกษียณ นอกเหนือ ‘แจกเงินหมื่น-เบี้ยสูงวัย’

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ชี้ ‘แจกเงินหมื่น’ รอบแรกตรงจุด เตือน! ประสิทธิภาพต่ำลงหากแจกไม่ตรงกลุ่ม ในเฟส 2 เฟส 3 เสนอทางเลือก ขยายเวลาจ้างงาน อุดช่องว่าง แก่ก่อนรวย ในยุคสังคมสูงวัย

นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุถึง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เป้าหมายของโครงการที่ภาครัฐพูดเสมอ คือ ต้องการแจก 5 แสนล้านบาท และ ลดเหลือ 4.5 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเกินความจำเป็น ใหญ่เกินกว่าปัญหาที่มี 

นอกจากนี้มีข้อเสนอเพิ่มทางเลือกผู้สูงอายุ นอกจากการต่อแถวรับ เงินหมื่น, เบี้ยสูงวัย ควรมีการสร้างรากฐานระบบการออม และเพิ่มความเข้มแข็งด้านการ จ้างงาน ขยายเวลาการเกษียณอายุ ในสังคมไทยที่เป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว

นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

แจกเงินหมื่น แก้ปัญหาเล็ก แต่กระตุ้นใหญ่ ‘เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน’  

นณริฏ อธิบายว่า หลักการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องสอดรับกับความต้องการ คือ เศรษฐกิจไทยอ่อนแอ จนรัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือ ก่อนโควิด-19 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 3.6% แต่หลังโควิด โตเฉลี่ยไม่ถึง 3% สะท้อนให้เห็นว่า ไทยต้องการกระตุ้นบางส่วน และปีนี้ก็ยังมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตจะหายไปอีก 1% (1% เทียบเท่าเม็ดเงิน 1.8 แสนล้าน) แต่สิ่งที่ภาครัฐจะดันทั้งโครงการต้องใช้เม็ดเงินถึง 4.5 แสนล้าน ซึ่งใหญ่กว่าปัญหาที่มี

นณริฏ ยังชื่นชมการแจกเงินหมื่นรอบแรก เพราะเป็นการคัดเลือกกลุ่มคนที่เหมาะสม ช่วยคนที่ต้องการ และยากลำบากจริง ๆ มีคนรายได้น้อย ยากลำบาก ชักหน้าไม่ถึงหลังได้ต่อลมหายใจ ใช้ประโยชน์จากเงินหมื่น สะท้อนผ่านการเบิกเงิน 10,000 บาท ทั้งหมดทันทีเพราะมีภาระที่ต้องใช้จ่าย 

“การที่ภาครัฐเลือกคนที่ถูกต้อง ทำให้ประสิทธิภาพของโครงการสูงขึ้น”

นณริฏ พิศลยบุตร

การที่รัฐบาลอัดฉีดเงิน 1.4 แสนล้านบาท เท่ากับขนาดของปัญหาปัจจุบัน 1.8 แสนล้านบาท ส่วนคำถามว่า จะแจกใหญ่ถึงขนาด 4-5 แสนล้าน จะเกิดพายุกี่เท่า ? เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ประมาณการณ์ว่าจะมีตัวคูณ 0.3 – 0.6 เท่า ซึ่งน้อยเทียบได้กับ การลงทุน 1 บาท แต่ได้ผลตอบกลับมา 3 – 6 สตางค์ รวมถึงรูปแบบของการใช้เงินที่มีข้อจำกัด ใช้ยากก็จะยิ่งทำให้ตัวคูณต่ำลง ถือว่าผิดหลักทางวิชาการ

แต่หากแจกเฉพาะกลุ่ม ลดขนาดเหลือ 1.45 แสนล้าน หรือ แจกเฉพาะกลุ่มที่จำเป็น จะทำให้ตัวคูณเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.2 – 1.5 เท่า ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีกว่าการแจกหว่าน ขณะเดียวกัน อัดฉีดตรงจุดช่วยแก้ปัญหามิติสังคม ต่อลมหายใจ ตั้งต้นชีวิตได้ 

ท้ายที่สุด แม้จะเห็นด้วยกับแจกเงินหมื่นเฉพาะกลุ่ม เฉพาะแค่เฟสแรก แต่สำหรับในเฟส 2 และ 3 ที่แจกคนทั่วไป มีฐานะมากขึ้น ไม่มีความจำเป็นต้องแจกเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการแจกเงินจะต่ำลง

เริ่มระบบการออม เสริมความเข็มแข็งการ ‘จ้างงาน’ ขยายเวลาเกษียณ

นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ ยังมองว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในสังคมสูงวัย คือ สูงวัย อายุยืนมากขึ้นจากการแพทย์ที่พัฒนามากขึ้น จำเป็นที่จะต้องออมเงิน และต้องแก้ทั้งระบบเศรษฐกิจ ทำอย่างไรให้สูงวัยทำงานได้นานขึ้น ไม่เร่งเกษียณอายุ ผู้สูงอายุจาก 12 ล้านคนจะเพิ่มเป็น 20 ล้านคน จึงมี 5 ส่วนสำคัญที่จะยกระดับศักยภาพสังคมสูงวัยไทย ภายใต้แนวคิด 

“ดึงสูงวัยให้กลับมาเก่ง ทำงานได้นานขึ้น”

นณริฏ พิศลยบุตร
  • แรงงานภาคการเกษตร : ผู้สูงอายุทำงานในภาคการเกษตรจำนวนมาก นำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตรมากขึ้น และวางแผนรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • แรงงานในระบบ : แรงงานออกจากในระบบเร็ว ทั้งที่ได้ค่าตอบแทนที่ดีที่สุด สิ่งนี้อาจจะทำให้เกิดความเปราะบางก่อนสูงวัย จำเป็นต้องไม่ให้ออกจากระบบเร็วเกินไป
  • ระบบจ้างผู้สูงอายุกลับมาทำงานอีก (re-employment)
  • แรงงานสูงวัยอิสระ (Kik economy) เช่น Taxi, Grab ฯลฯ ต้องมีการเพิ่มสวัสดิการ เพิ่มการต่อรองให้คนกลุ่มนี้มีสิทธิ-สวัสดิการ และเพิ่มตลาดรองรับให้กับคนกลุ่มนี้
  • กลุ่มผู้ประกอบการ : สร้างทักษะ เพิ่มโอกาส 

นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการปรับกฎระเบียบให้เอื้ออำนวยให้ผู้สูงอายุทำงานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ลดหย่อยภาษีให้ผู้สูงอายุมีงานทำได้ ร่วมกับอีกส่วน คือ การทำสูงวัยมีส่วนร่วมในงานของรัฐบาลในมิติต่างๆ เช่น Soft power, BCG โดยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสทำงานง่าย ๆ ตามความถนัดทักษะเพื่อยกระดับสังคมสูงวัย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active