ย้ำเมืองกำลังโต ผังเมืองต้องขยับตามเพื่อเพิ่มศักยภาพ เล็งขยายเวลารับฟังความเห็นถึงสิ้นเดือน ก.พ. นี้ หลังพบผู้คนตื่นตัวด้านการวางผังเมือง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/image-24-1024x683.png)
วันนี้ (9 ม.ค. 67) วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวการขยายระยะเวลารับฟังความคิดเห็นต่อการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 4) โดยยอมรับว่า รู้สึกดีใจที่เห็นพลเมืองตื่นตัวเรื่องการวางผังเมือง เพราะก่อนหน้านี้ หลายคนมองเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ย้ำว่า ผังเมือง กทม. ต้องปรับเปลี่ยนเพราะวิถีชีวิต และความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงหวังเห็นความเปลี่ยนแปลง พัฒนา และอยากให้เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน มีพื้นที่สีเขียว ไม่มีสิ่งกีดขวางทางเท้า จัดการพื้นที่เป็นระเบียบ ฯลฯ ดังนั้น การมีผังใหม่จะเป็นโอกาสทำให้สิ่งที่ฝันถึงได้เป็นจริง และเมื่อมีประชาชนสนใจให้ความเห็น ก็ควรถือโอกาสแก้ไขตอนนี้เลย ยินดีเปิดรับฟังความเห็นทั้งหมด
โดยปกติ ผังเมืองจะปรับการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน/การปรับผังเมืองใหม่ทุก 5 ปี กทม. จึงได้จัดทำผังเมืองรวมให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ต่อมาในปี 2562 ได้มีพระราชบัญญัติการผังเมืองใหม่ ซึ่งกำหนดให้ผังเมืองรวมมีรายละเอียดเพิ่มเติมจาก 4 แผนผังเป็น 6 แผนผัง ประกอบด้วย
- แผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภท
- แผนผังแสดงที่โล่ง
- แผนผังแสดงโครงการการคมนาคมและการขนส่ง
- แผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการสาธารณะ
- แผนผังแสดงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- แผนผังแสดงผังน้ำ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/image-23-767x1024.png)
รองผู้ว่าฯ กทม. ยังระบุถึงข้อกังวลที่พี่น้องประชาชนได้ร้องเรียนมา เรื่องหนึ่งคือ การปรับผังสีที่อาจส่งผลกระทบทำให้บางคนได้สิทธิประโยชน์ในที่ดินมากขึ้น โดยย้ำว่าเมืองพัฒนาทางรถไฟหลายเส้นทาง จึงจำเป็นต้องขยับขยายความหนาแน่นของเมืองมากขึ้น ในขณะที่อีกเรื่องคือการเวนคืนที่ดินเพื่อทำถนน ยืนยัน ไม่ได้มีการเวนคืนแต่อย่างใด แต่เป็นการกำหนดโดยกฎหมาย ให้ตัวอาคารมีระยะถอยร่นจากถนนมากขึ้น เพื่อลดความแออัดในเมืองใหญ่
ในประเด็นข้อสงสัยว่าผังเมือง กทม. เอื้อนายทุนจริงหรือไม่นั้น รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า หน่วยงานได้ตั้งโจทย์ของการออกแบบผังเมืองกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ให้มุ่งเน้นสร้างประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในเมืองที่มีความแออัดที่แทบไม่มีพื้นที่ว่างเพื่อสร้างเป็นพื้นที่ให้กับสาธารณะ ดังนั้น กทม. จึงมีแผนเพิ่มการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ตามแนวระบบขนส่งสาธารณะ เช่น การเพิ่มความหนาแน่นที่อยู่อาศัยรอบรถไฟฟ้า เพื่อให้สังคมได้ประโยชน์ของขนส่งมวลชน หรือถ้ามีใครได้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพิ่มขึ้น ประโยชน์นั้นต้องตกแก่สาธารณะด้วย เช่น FAR Bonus ที่กำหนดให้เจ้าของที่ดินต้องทำโครงการสร้างประโยชน์แก่ชุมชน (เช่น การสร้างทางเท้า การสร้างพื้นที่สีเขียว การสร้างพื้นที่รับน้ำ) เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิประโยชน์ในการใช้สอยที่ดินมากขึ้น (เช่น การสร้างอาคารให้สูงได้มากขึ้น) แต่ทั้งนี่จะมีกฎหมายควบคุมอาคารครอบอีกทีหนึ่ง เพื่อไม่ให้ใจกลางเมืองแออัดเกินไป
“ของเดิมผังเมืองที่เราทำมา 3 ฉบับ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพิ่มขึ้น จากการปรับผัง ส่วนหนึ่งของประโยชน์ (ของที่ดินแปลงนั้น) ต้องตกอยู่สาธารณะ อันนี้คือการเปลี่ยนแปลงใหม่ของเดิมที่เราทำมา 3 ฉบับ ไม่มีพูดถึง ใครได้ประโยชน์จากการปรับผังสีก็คือเหมือนถูกหวย แต่คราวนี้ไม่ใช่ คราวนี้ถ้าคุณใช้ประโยชน์พื้นที่ได้มากขึ้น ต้องแบ่งส่วนหนึ่งกลับมาเป็นประโยชน์สาธารณะ เพราะฉะนั้นพื้นที่สาธารณะเราก็จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้น จากการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วย”
วิศณุ ทรัพย์สมพล
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/image-20-1024x683.png)
ขณะที่ รศ.นพนันท์ ตาปนานนท์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ผังเมือง กทม. ได้รับการอัพเดตล่าสุดเมื่อปี 2556 แต่ในปี 2557 มีโครงการพัฒนารถไฟฟ้าจำนวนหลายสาย จนถึงตอนนี้มีเส้นทางรถไฟฟ้ากว่า 300 กิโลเมตร แต่ยังมีหลายสถานีในอนาคตยังติดอุปสรรคของพื้นที่ ทำให้เข้าถึงไม่ได้ เช่น ติดแม่น้ำคูคลอง ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับผังเมืองให้รองรับระบบขนส่งมวลชนและเมืองที่โตมากขึ้น
ในส่วนประเด็นพื้นที่สีแดง (พื้นที่พาณิชยกรรม) ที่ปรากฎในพื้นที่ที่พ้นใจกลางเมือง รศ.นพนันท์ ชี้แจงว่า เนื่องจาก กทม. มีปัญหาเป็นเมืองศูนย์กลางเดี่ยว จะเห็นว่าคนในซีกตะวันออกของชานเมืองต้องเดินทางไกลมาก การศึกษาร่วมกับ MIT พบว่า การทำ “มหานครหลายศูนย์กลาง” สร้างสมดุลระหว่างแหล่งอยู่อาศัย และแหล่งงาน เพื่อให้คนชานเมืองไม่ต้องพึ่งพิงการเดินทางเข้ามาในตัวเมือง และตอนนี้มี Sub-center ของกรุงเทพฯ ตะวันออกที่เขตมีนบุรี เห็นได้จากรถไฟฟ้า 2 สาย สายสีส้ม และสีชมพูที่มาบรรจบ ส่วนกรุงเทพฯ และฝั่งตะวันตกเป็นเขตบางขุนเทียน เป็นต้น
ส่วนประเด็นพื้นที่ “แดงเซาะร่อง” ซึ่งถูกเปิดเรื่องโดย ศุภณัฐ มีนชัยอนันต์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล โดยในพื้นที่ดังกล่าวที่เป็นประเด็น นั้นมีลักษณะของการจัดสรรพื้นที่ลักษณะ “เซาะตามร่อง” บริเวณที่โล่งรอบสนามกอล์ฟ ทำให้หลายฝ่ายมีความเคลือบแคลงใจ ประเด็นนี้ทางสำนักผังเมืองฯ และคณะกรรมการผังเมือง มีหลักเกณฑ์อะไรในการกำหนดให้ว่าพื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่สีแดง (พาณิชยกรรม) รศ.นพนันท์ ชี้แจงว่า พื้นที่ตรงนี้ถูกกำหนดมาตั้งแต่ผังเมืองรวมปรับปรุงครั้งที่ 1 ฉบับปี 2542 เดิมในข้อเสนอกรุงเทพมหานคร ก็ทำพื้นที่ตรงนั้นเป็นเป็นย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย
แต่คราวนี้ก็เสนอเข้ามาในกรรมการผังเมือง เป็นคำร้องซึ่งก็เป็นคำในช่วง 90 วัน ตามกฎหมายเดิม เจ้าของโครงการขอพัฒนาตรงนี้ให้เป็นศูนย์พาณิชยกรรมชานเมือง แล้วการพิจารณานี้ก็คือผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการผังเมืองตอนนั้น ดังนั้นวิธีการปรับแผนผังแผนที่โล่งตอนนี้ ก็ต้องพิจารณาซ้อนกับแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน บริเวณหนึ่งอาจมีข้อกำหนดมากกว่าหนึ่งแผนผัง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/ภาพถ่ายหน้าจอ-2567-01-09-เวลา-14.21.48-1-766x1024.png)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/image-15-838x1024.png)
รองผู้ว่าฯ กทม. ยังย้ำว่า ในร่างผังเมืองฉบับนี้ต้องเน้นเพิ่ม 2 เรื่อง ได้แก่ การสร้างประโยชน์สาธารณะที่ต้องมีเพิ่มเติมมากขึ้น ขณะที่เรื่องที่ยังไม่ได้แตะเลย คือเรื่อง ระดับพื้นที่ ซึ่งมองจากระดับนโยบายจะยังมองไม่เห็น ต้องรอให้พี่น้องประชาชนชี้แจงและแสดงความเห็นเข้ามา พอมีการเข้ามามีกระบวนการับฟังเช่นนี้จะช่วยให้ กทม. และทางที่ปรึกษาต้องหาคำตอบให้กับทุกข้อกังวลของพี่น้องประชาชน และนำไปปฏิบัติต่อในระดับนโยบายต่อไป
ชูขวัญ นิลศิริ รองผู้อำนวยการสำนักการวางผังและพัฒนาเมือง บอกว่า ก่อนได้ทำร่างผังเมืองฉบับนี้ออกมา กทม. ได้เปิดให้รับฟังความคิดเห็นมากกว่า 1 ครั้ง ที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยก่อนทำร่างได้จัดการรับฟังความเห็นทั้งสิ้น 5 ครั้งด้วยกัน มีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,400 คน และหลังที่มีร่างผังเมืองแล้ว กทม. ได้จัดให้มีการรับฟังความเห็นอีก 7 ครั้ง แบ่งเป็น 6 กลุ่มเขต และจัดรวมทุก 50 เขตเมื่อ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/image-21-1024x683.png)
รองผู้ว่าฯ กทม. คาดว่าจะใช้เวลาอีก 2 ปีในการจัดทำ และประกาศใช้ร่างผังเมืองฉบับใหม่ แต่ กทม. ไม่ใช่ผู้กำหนดชี้ขาดเพราะต้องส่งเรื่องกลับไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง และกระทรวงมหาดไทย อีกที่หนึ่ง ย้ำว่า จะเปิดผลการศึกษา และเหตุผลการปรับผังสีผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักผังเมือง และรับปากว่าจะขยายเวลารับฟังความเห็นเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะขยายไปถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ เมื่อได้วันที่แน่ชัดอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกทีหนึ่ง
ทั้งนี้ กทม. พร้อมเปิดให้ผู้มีส่วนได้เสีย ยื่นหนังสือแสดงความคิดเห็นเพื่อให้มีผลเกี่ยวกับสิทธิในการยื่นคำร้องขอให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามมาตรา 30 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 โดยขยายระยะเวลาการยื่นหนังสือได้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 (เดิมสามารถยื่นได้จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2567)
โดยมีช่องทางการแสดงความคิดเห็น ได้แก่
- ยื่นเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตนเองต่อเจ้าหน้าที่สำนักการวางผังและพัฒนาเมือง หรือส่งทางไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ สำนักการวางผังและพัฒนาเมือง 45 ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
- ยื่นทางเว็บไซต์ของสำนักการวางผังและพัฒนาเมือง กรุงเทพมหานคร https://webportal.bangkok.go.th/cpud
- ยื่นทางเว็บไซต์โครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร https://plan4bangkok.com หรือโทรศัพท์ 0 2354 1275
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/01/image-22-1024x1024.png)