Peaceful Death ชงขยับนโยบาย ‘ตายดี’ อย่างสมศักดิ์ศรี

หนุนพัฒนาระบบชีวาภิบาล เพิ่มอัตรากำลังบุคลากร Palliative Care ใน รพ.ชุมชน, รพ.ศูนย์ ยกระดับการดูแลแบบประคับประคองระยะสั้น เพิ่มความรู้ Care manager, Care giver พร้อมจับมือท้องถิ่น เรียนรู้ระบบดูแลผู้ป่วยระยะท้ายในชุมชน เอื้อต่อการตายดีที่บ้าน 

วันนี้ (31 ก.ค. 67) กลุ่ม Peaceful Death และภาคีเครือข่าย แถลงข่าว Let’s move! ชีวาภิบาล ความร่วมมือขับเคลื่อนระบบชีวาภิบาลอย่างมีส่วนร่วมสู่การพัฒนาคุณภาพการบริการผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะยาว ระยะท้าย และการตายดี

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศไทยตอนนี้กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ การแพทย์และเทคโนโลยีทำให้ผู้คนอายุยืนขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีจำนวนผู้ป่วยเยอะขึ้นด้วย และบริบทของสังคมเมืองก็เป็นเรื่องท้าทายว่าจะทำอย่างไรให้คนตายดีได้อย่างสมศักดิ์ศรี

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

“การตายอย่างมีศักดิ์ศรีคือการตายในบ้านที่เคยอยู่ ในเตียงที่เคยนอน และในอ้อมกอดของคนที่เรารักและรักเรา ในบริบทชนบทสมัยนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนก่อน เพราะลูกหลานมาทำงานในเมือง บางคนไม่มีญาติ จะเป็นต้องมาอยู่สถานชีวาภิบาล ผมอยากให้มีระบบที่ดีในสังคมและฉากจบในชีวิตของเราทุกคนสมบูรณ์“

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ นักจัดการความรู้กลุ่ม Peaceful Death ได้ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมการขับเคลื่อนเรื่องการดูแลแบบประคับประคองและตายดีในสังคมไทยตลอด 20 ปี โดยแบ่งได้เป็น 4 ช่วง ได้แก่ 

ยุคแรก : ก่อนปี 2547 รุ่งอรุณแห่งการดูแลแบบประคับประคอง 

มีสถานการณ์สำคัญ 3 เรื่องที่เป็นตัวจุดประกายให้สังคมหันมาสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ได้แก่

  • การมรณภาพของท่านพุทธทาส ที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างลูกศิษย์สายแพทย์กับสายวัด เกิดข้อถกเถียงว่าควรจะยื้อชีวิตตามหลักจรรยาบันทางการแพทย์หรือไม่ หรือควรปฏิบัติตามเจนนารมย์ของท่านพุทธทาสที่ต้องการตายดี
  • การเสียชีวิตของนักเคลื่อนไหว “สุภาพร พงศ์พฤกษ์” ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง และมีการแสดงเจตจำนงค์ว่าต้องการตายดีที่บ้าน แต่ติดขัดเรื่องการนำมอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการปวดออกมาใช้นอกโรงพยาบาลจนนำมาสู่การแก้ไขกฎหมาย

  • เกิดชุดงานวิจัยเรื่อง “กระบวนทัศน์เรื่องความตายและมิติแห่งสุขภาวะ” โดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สสส. ที่เก็บเคสตัวอย่างของคนที่เลือกตายดีที่บ้าน และชี้ให้เห็นว่าการตายดีมีอุปสรรคอย่างไรและควรเปลี่ยนแปลงระบบการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย

ยุคที่สอง : ปี 2547- 2556 สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา

เป็นช่วงที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวจากโรงเรียนแพทย์ มีหลักสูตรในการพูดคุยถึงการดูแลผู้ป่วย เกิด พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 12 ภาคประชาชน เริ่มตื่นตัวและมีพื้นที่นำร่องที่นำโดยเครือข่ายพุทธิกา ที่นำความรู้เข้าสู่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีศักยภาพที่จะดูแลความตายด้วยตัวเอง รวมถึง สปสช. เริ่มมีพื่้นที่นำร่องในโรงพยาบาลแล้ว

ยุคที่สาม : พ.ศ.2557 – 2566 การเติบโตอย่างก้าวกระโดด

รัฐประกาศยุทธศาสตร์โครงการเสริมสร้างสุขภาวะในช่วงท้ายของชีวิตและการตายดี ทำให้ สสส. ทำชุดโครงการใหญ่ มีการผลิตสื่อต่าง ๆ เกิดโครงการฝึกอบรมโดยศูนย์การุณรักษ์ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วน และเกิดโครงการชุมชนกรุณา

ยุคที่สี่ :  พ.ศ. 2567 – ปัจจุับน การผสานสู่ระบบบริการและชุมชน

ต้องใช้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งท้องถิ่น โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ผ่านมายังพบว่ามีรอยต่อในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ผู้สูงอายุ และกลุ่มชายขอบที่เข้าไม่ถึงความรู้ 

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ นักจัดการความรู้กลุ่ม Peaceful Death

ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นของ “ความร่วมมือ” ด้านการตายดี การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ผู้สูงอายุ และกลุ่มชายขอบ เริ่มเห็นการร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งโรงเรียน ชุมชน และโรงพยาบาล เนื่องจากที่ผ่านมามีการทำงานแยกส่วนอย่างชัดเจน

“เรากำลังอยู่ในยุคที่น่าตื่นเต้นที่สุด ที่จะผสมผสานความร่วมมือ อุดรอยต่อและช่องว่างที่ทุกภาคส่วนมีส่วนในการเขียนประวัติศาสตร์ร่วมกัน”

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ

ขณะที่ วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้จัดการโครงการเมืองกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี กลุ่ม Peaceful Death บอกว่า ได้ขับเคลื่อนมาตลอดทั้ง 4 ยุคสมัยเป็นเวลาร่วม 20 ปี พบว่า มีหลายองค์กรที่มีความตั้งใจจะส่งเสริมเริ่องการดูแลด้านการตายดี รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่ตระหนักและต้องการให้การส่งเสริม มีภาคเอกชน และภาคประชาชนที่แข็งแรงมากแต่พบข้อจำกัดหรือจุดติดขัดในการเชื่อมต่อ ทั้งนี้จากโจทย์ท้าทายดังกล่าว เห็นว่ามี 4 สิ่ง ที่ควรทำเพื่อฉกฉวยโอกาสสำคัญนี้ไว้ ได้แก่ 

  1. สร้างพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน ภาคประชาสัวคมได้มาเจอกัน เติมเต็มข้อมูลและการขับเคลื่อนร่วมกัน

  2. ทุกภาคส่วนควรมีการทำงานร่วมกัน เพื่อดึงศักยภาพออกมาและทำให้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อนของแต่ละภาคส่วนและนำไปสู่การลดช่องว่าง

  3. ต้องมีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ เนื่องจากจะเป็นพื้นที่แห่งการพูดคุย แลกเปลี่ยนอัปเดทข้อมูลและยังประคับประคองใจคนทำงานด้วย

  4. ต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้เดิม เพิ่มความรู้ใหม่เพื่อทำให้เราเห็นทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อจะให้สอดรับกับการไปสู่สังคมสูงวัยสุดยอด
วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้จัดการโครงการเมืองกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี

จากสถานการณ์ตอนนี้ แม้อาจกำลังอยู่ในยุคแห่งวิกฤตผู้สูงวัย และผู้ป่วยแบบประคับประคอง แต่ก็เป็นนิมิตรหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนหันมาตระหนักถึงความสำคัญอย่างจริงจัง และพยายามผสานความร่วมมือกัน โดยทีมพัฒนาระบบชีวาภิบาลได้มีข้อเสนอ 10 ข้อ เพื่อพัฒนาระบบชีวาภิบาล ดังนี้

  1. เพิ่มโครงสร้างอัตรากำลังคนทั้งในระดับชาติและโรงพยาบาลเพิ่มการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองทั้งในโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลศูนย์ ต้องมีทีม Palliative Care ให้บริการอย่างเพียงพอ และควรจัดตั้งหอผู้ป่วย Palliative Care 

  2. โรงพยาบาลควรมีบริการการวางแผนดูแลล่วงหน้า (AdvanceCarePlanning: ACP) หรือที่เรียกว่าคลินิก ACP ควรมีการฝึกอบรมเรื่อง ACP แก่คนในชุมชน ใช้ระบบ E-Living Will เพื่อรองรับการส่งต่อข้อมูล ACP ระหว่างโรงพยาบาล บ้านและชุมชน และสามารถใช้แนวทางและเครื่องมืออื่น ๆ จาก สช. ร่วมด้วย

  3. ควรทำให้กิจกรรม ACP เป็นหนึ่งในชุดสิทธิประโยชน์ บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกัน โรค (P&P) ของกองทุน สปสช. 

  4. ควรมีการจัดสื่อวิดีโอและคู่มือเพื่อใช้ในการอบรมความรู้พื้นฐานด้าน Palliative Care, ACP และ Community-BasedPalliative Care แก่บุคคลากรสุขภาพและชุมชนให้ได้เรียนเพื่อเตรียมพร้อมในการทำงานร่วมกัน (อาจจัดทำโดยหน่วยงานกลาง)

  5. พัฒนากระบวนการที่เชื่อมโยงคนทำงาน ทรัพยากร เพื่อพัฒนาระบบการดูแล ส่งต่อ ประสานงานระหว่างองค์กรต่าง ๆ (ได้แก่ สธ. มท. พม. สปสช. และท้องถิ่น) ตามบริบทท้องถิ่น เพื่อลดช่องว่างระหว่างโรงพยาบาล และชุมชน โดย คณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด (พชจ.) และระดับอำเภอ (พชอ.) ควรเร่งดำเนินงาน

  6. กรมอนามัยควรจัดอบรม พัฒนาหลักสูตรหรือกระบวนการแลกเปลี่ยนกันเองระหว่างผู้ดูแล เพื่อให้มีการแบ่งปันแนวคิด เทคนิค หรือสื่อการสอนแก่กัน

  7. ควรจัดให้มีการอบรมด้านการดูแลแบบประคับประคองในระยะสั้นเพื่อเพิ่มความรู้ให้แก่ Care manager, Care giver และบุคลากรสุขภาพปฐมภูมิ

  8. ควรพัฒนาโมเดลการดูแลผู้ป่วยระยะยาว-ระยะท้ายในกรุงเทพมหานคร โดยเน้นการพัฒนาศูนย์บริการสาธารณสุขให้เป็นหน่วยปฐมภูมิในการดูแลประคับประคอง และควรพัฒนาหน่วยเยี่ยมบ้านเพื่อการจัดการอาการปวดและอาการรบกวนที่ใช้มอร์ฟีนได้ รวมถึงบริการให้คำปรึกษาออนไลน์ จนถึงการประสานเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายในชุมชนให้เอื้อต่อการตายดีที่บ้าน

  9. สช. และหน่วยงานนโยบายระดับชาติ ควรตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตาม ประเมิน และปรับปรุงนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยต้องประกอบด้วยเครือข่ายคนทำงาน และผู้รับผลกระทบจากนโยบาย เช่น ผู้ป่วย ผู้ดูแล และตัวแทนกลุ่มเปราะบางร่วมด้วย

  10. ควรมีการจัดเวทีสำหรับเครือข่ายคนทำงาน เพื่อเชื่อมโยงและเรียนรู้การทำงานจากภาคส่วนอื่นสม่ำเสมอ และควรมีโปรแกรมพัฒนาผู้นำด้านการดูแลแบบประคับประคองด้วย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active