ชี้ พ่อแม่ให้เด็กสูบบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า สูดคมควันบุหรี่ มีความผิด ทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก-พ.ร.บ.คุ้มครองความรุนแรง
วันนี้ (12 ส.ค.67) รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันมีการแพร่ข่าวและคลิปต่อสาธารณะในหลายกรณีที่พ่อแม่มีการให้ลูกของตนใช้บุหรี่ไฟฟ้า เพราะเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย และไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติด ทำให้สมองมีการหลั่งสารโดปามีน ทำให้เกิดความสุขผ่อนคลายในระยะแรก แต่ผลเสียของนิโคตินทำให้หลอดเลือดหดตัว เกิดการอักเสบและมีอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพกับเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าและอาจทำให้เกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงจากบุหรี่ไฟฟ้า (EVALI)
เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ แตกต่างกันที่ในเด็กจะมีผลกระทบต่อสมองที่กำลังพัฒนาของเด็กตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุ 25 ปี ซึ่งส่งผลต่อสมองส่วนหน้าที่ควบคุมความสามารถในการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ ความจำ สมาธิ และอารมณ์ ที่สำคัญบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประตูเปลี่ยนผ่านไปใช้บุหรี่มวนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่าเมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงการใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กัน และอาจนำไปสู่การใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายได้ในอนาคต
“สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองทำให้คนที่อยู่ใกล้ผู้สูบมีความเสี่ยงต่ออาการหลอดลมอักเสบและหายใจที่ถี่เพิ่มขึ้น ไอบุหรี่ไฟฟ้ามีโลหะหนักและอนุภาคขนาดเล็กกว่า PM 2.5 ที่สามารถเข้าไปถึงปอดได้ลึก อาจทำให้การทำงานของหัวใจและปอดแย่ลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไม่ไห้เด็กใช้หรือถูกไอบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพของตัวเด็กเอง”
รศ.นพ.อดิศักดิ์
สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ กล่าวว่า บทบัญญัติกฎหมายที่ใช้คุ้มครองเด็กจากพิษภัยของบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่หลากหลาย ในพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มีอย่างน้อย 2 มาตรา คือ มาตรา 26 วงเล็บ 1 การสูบบุหรี่ทำให้เด็กได้รับควันบุหรี่มือสองมีความผิดเพราะถือเป็นการกระทำทารุณกรรมต่อเด็กดังที่บัญญัติในมาตรา 4 และมีความผิดตามอนุมาตรา 10 ห้ามจำหน่ายแลกเปลี่ยนหรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก อนุมาตรา 6 ใช้จ้างหรือวานให้เด็กทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตหรือขัดขวางต่อพัฒนาการของเด็ก อีกทั้งยังมีมาตรา 45 ในกรณีที่เด็กสูบบุหรี่จะต้องมีกระบวนการในการปรับแก้ไขพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเด็ก
“การพ่นควันบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าจนเด็กสูดควันหรือไอเข้าไปอาจเป็นการใช้ความรุนแรงต่อเด็กซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง 2550 มาตรา 4 วรรค 1 แม้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะระบุถึงการกระทำโดยเจตนาไม่รวมการกระทำโดยประมาท การตีความเกี่ยวกับควันบุหรี่ไม่ว่าจะมาจากบุหรี่มวนหรือไอของบุหรี่ไฟฟ้ามีผลเช่นเดียวกันคือก่ออันตรายให้แก่เด็ก จึงไม่อาจตีความว่ากฎหมายมีผลห้ามเฉพาะบุหรี่มวน เพราะในกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กไม่ได้ระบุถึงรูปแบบของการกระทำ แต่เน้นเนื้อหาของการกระทำคือความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเด็กจากการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใด”
สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์
สรรพสิทธิ์ กล่าวต่อว่า พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้พยายามดึงเด็กออกจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นภัยจากการสูบบุหรี่ ซึ่งระบุในมาตรา 45 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พบว่าเด็กสูบบุหรี่ทุกชนิด จำเป็นต้องนำตัวเด็กมามอบให้ผู้ปกครอง และร่วมกับผู้ปกครองในการแก้ไขปัญหา โดยอาจจะกำหนดแผนบำบัดฟื้นฟูแก่เด็กได้ด้วย ดังนั้น การปกป้องเด็กให้พ้นจากพิษภัยของบุหรี่ ไม่สามารถควบคุมได้โดยใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมการห้ามสูบ ห้ามขาย ห้ามผลิตเท่านั้น แต่จำเป็นต้องให้ครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษามีส่วนร่วมในการคุ้มครองดูแลไม่ให้เด็กต้องรับพิษภัยจากบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นการสูบของผู้อื่นหรือเป็นการสูบของเด็กเอง
ด้านราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว กรมกิจการสตรีและครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า กรณีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ในครอบครัวถือเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอาจเข้าข่ายกระทำความรุนแรงในครอบครัวตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ด้วย
ทั้งนี้ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กำลังเร่งดำเนินการประสานงานทั้งหน่วยงานภายในและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างการรับรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่ครอบครัว ป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการหลีกเลี่ยงการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และให้คำแนะนำแก่ลูกหลานเกี่ยวกับผลกระทบที่เป็นอันตราย สังคมควรจะมีความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า และร่วมมือกันสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีและปลอดภัยสำหรับทุกคน
ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวย ศจย. กล่าวว่า ครอบครัวต้องเข้าใจบทบาทของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และต้องปกป้องสิทธิเด็กจากภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคม เราต้องปกป้องเด็กและสมาชิกในครอบครัวจากอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่มุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชน ในภาวะที่เด็กเกิดน้อยลง ยิ่งต้องช่วยกันปกป้องให้สมองของอนาคตของชาติไม่ถูกทำลายไปด้วย