กรมสุขภาพจิต แนะ สื่อสารเชิงบวกให้สังคมเข้าใจปัญหาสุขภาพจิต หมั่นเช็คจิตใจ พาเข้าสู่การรักษา
จากกรณีการเสียชีวิตของ ภญ.ญาดาภา ตันสุดเจริญยิ่ง อายุ 28 ปี ภรรยาของ ศุภโชค ศรีสุขจร สส.นครปฐม เขต 1 พรรคชาติไทยพัฒนา จากการตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในบ้านพักส่วนตัว เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 66 จากข้อมูลพบประวัติรักษาโรคซึมเศร้า โดยอยู่ในความดูแลของครอบครัวและสามี คอยเฝ้าระวังและทานยามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ ศุภโชค ยังได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แจ้งว่าได้ทำหน้าที่ในกรรมาธิการ 2 คณะสำคัญ คือ โฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และ คณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม เพียงไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/10/IMG_1222-1024x926.jpeg)
ล่าสุดวันนี้ (12 ต.ค.66) ศุภโชค ได้โพสต์ภาพของภรรยา และข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะคะ หลับให้สบายคะ แล้วคอยดูความสำเร็จฟีล์มอยู่บนฟ้านะคะ my angel (นางฟ้าของผม)” ซึ่งจากโพสต์ดังกล่าว มีผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมาก เข้ามาแสดงความเสียใจ และให้กำลังใจครอบครัว พร้อมหวังว่าสังคมจะเรียนรู้ เข้าใจผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากขึ้น
นี่ถือเป็นการสื่อสารเชิงบวก ตามนิยามของ นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต ที่ให้สัมภาษณ์กับ The Active ที่สังคมแสดงความคิดเห็นอย่างให้เกียรติครอบครัวผู้สูญเสีย และทำความเข้าใจกับอาการของโรคซึมเศร้ามากขึ้น ว่าตัวกระตุ้นพฤติกรรมมาจากหลายปัจจัย
พร้อมให้กำลังใจสามี และครอบครัว ภญ.ญาดาภา ว่า การหมั่นสังเกตอารมณ์คนใกล้ชิด รับรู้ว่าตัวเป็นซึมเศร้า และจับมือพากันเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/10/IMG_1225-1-1024x575.jpeg)
“เชื่อว่าคนที่ดูแลผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า ต้องพยายามดูแล และละสายตาให้น้อยที่สุดอยู่แล้ว แต่คนเราไม่ได้มีช่วงเวลาส่วนตัวตลอด 24 ชม. ถ้าทุกคนทำดีที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ความผิดของใคร หรือรับผิดชอบกับเรื่องนี้ทั้งหมด”
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
นพ.วรตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าสู่กระบวนการรักษาจะทำให้ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า ตัดสินใจว่าจะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นน้อยลงไปอย่างแน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะยังมีอาการบางช่วงที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ หากได้พูดคุยจิตแพทย์อาจจะปรับยาให้ แต่อย่างไรก็ตามตัวกระตุ้นให้เกิดการฆ่าตัวตาย ไม่สามารถตอบได้ด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว จึงไม่อยากให้สังคมรีบด่วนสรุป
ขณะที่บทบาทของสื่อมวลชน ควรทำมากกว่าการนำเสนอการเสียชีวิตของคนที่มีชื่อเสียง หรือ ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่ควรเป็นการสื่อสารเชิงบวกเพื่อทำให้สังคมเรียนรู้ เข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากยิ่งขึ้น เช่น เป็นคนที่มีความสามารถในด้านใด เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าเราต้องเสียคนที่มีคุณภาพไปเพราะโรคนี้ และเราสามารถป้องกันได้ถ้าเรารับฟัง เข้าใจ ไม่ตีตรา ตัดโอกาสเสี่ยงด้วยการให้ข้อมูลหน่วยงาน หรือองค์กรที่ช่วยเหลือในด้านนี้ เช่น สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ,SATI APP ,OOCA อาสาเยียวยาใจฟรี และ www.lovecarestation.com เป็นต้น