เวทีประชุมวิชาการ ชี้ บุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยซ่อนเร้นในสังคม รวมงานวิจัยทั่วโลกเกือบ 7 พันชิ้น พบโรคแทรกซ้อนจากบุหรี่ไฟฟ้าทุกระบบในร่างกาย เสี่ยงปอดอุดกั้นเพิ่ม 49% ไม่ช่วยเลิกสูบ แถมเป็นจุดเริ่มต้นสารเสพติดอื่น
วันนี้ (29 ส.ค. ) ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ จัดการประชุมวิชาการบุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 20 เรื่อง “บุหรี่ไฟฟ้า ภัยซ่อนเร้นในสังคม”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/37248D28-9338-4EED-8863-9C3E6D530735-1024x684.jpeg)
โดย อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการะทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั่วโลกทราบดีว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ปลอดภัย และทำให้มีนักสูบหน้าใหม่เกิดขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 สำรวจพบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 80,000 คน ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งเป็นเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เยาวชนที่ไม่เคยคิดจะสูบบุหรี่เลย เริ่มต้นอยากลองสูบบุหรี่เร็วขึ้น ทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่นานขึ้นตามไปด้วย บุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมีผลทำลายสมองที่กำลังเติบโตของเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติ เป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลที่เราทุกคนจะต้องดูแล ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ และพัฒนาอย่างมาก เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาประเทศไทยในทุกมิติ
“จุดยืนของไทยคือ ไม่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า ปัจจุบันมาตรการและประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ไม่มีมาตรการอื่นใดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเยาวชนไม่ให้เข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า และทดลองเสพบุหรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้นจึงควรป้องกันที่ต้นทางคือ การห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนดำเนินการตามอนุสัญญาพิธีสารว่าด้วยการจัดการการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด”
ผศ.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า จากการรวบรวมงานวิจัยต่างประเทศ ปี 2014-2021 มีถึง 6,971 ชิ้น พบรายงานโรคแทรกซ้อนจากบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ 49% ระบบหัวใจและหลอดเลือด 13% ช่องปากและฟัน 18% สมอง 7% ตับ 2.9% ผิวหนัง 2.9% และระบบอื่นๆ 19% องค์การอนามัยโลก สรุปว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อทุกระบบของร่างกาย สารนิโคตินที่มีฤทธิ์เสพติดสูงสุดและออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายน้อยลง และยังมีสารมีพิษอื่นๆ เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกมากขึ้น สอดคล้องกับสมาคมโรคหัวใจอเมริกา ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 1.8 เท่า ทำให้ปอดอักเสบ มีความเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพิ่มขึ้น 49% โรคหอบหืดเพิ่มขึ้น 39% บุหรี่ไฟฟ้าทั้งมือหนึ่งและมือสองมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ ทำให้มีความผิดปกติของระบบประสาท เป็นโรคสมาธิสั้น น้ำหนักแรกเกิดน้อย โดยเฉพาะสมองที่กำลังพัฒนาของเด็กและเยาวชนอายุถึง 25 ปี ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าเด็กที่ไม่เคยสูบ 3-4 เท่า
“บุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยเลิกบุหรี่ ยังเป็นประตูนำไปสู่การสูบบุหรี่มวน และสารเสพติดอื่น เช่น กัญชา แอลกอฮอล์ มีโอกาสสูบบุหรี่มวนในอนาคต 3.29 เท่า คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่มวนจะกลับมาสูบบุหรี่มวน 4.4 เท่า ในด้านความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากงานวิจัยของสหรัฐฯ ค่ารักษาพยาบาลจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึงปีละกว่า 5 แสนล้านบาท สูงกว่ารายได้จากภาษีบุหรี่ไฟฟ้าที่จัดเก็บได้เพียง 300 ล้านบาท การสูบบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดกลุ่มควันฝุ่น PM 2.5 และเกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า มาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลก มี 2 รูปแบบ คือ 1.ห้าม และ 2.ควบคุมโดยแยกย่อยเป็นผลิตภัณฑ์ยา 3.ห้ามส่วนประกอบ 4.ควบคุมเหมือนกับสารพิษ 5.ควบคุมเหมือนกับผลิตภัณฑ์ยาสูบ 6.ควบคุมเหมือนกับสินค้าอุปโภคบริโภค และ 7.ควบคุมเหมือนสินค้าเฉพาะ หากประเทศไทยใช้เพียงมาตรการที่ 3-7 จะทำให้เกิดการเสพติดนิโคตินต่อเนื่องทั้งสิ้น อีกทั้งไม่ได้ปกป้องเยาวชนจากการทดลองใช้และเสพ ส่วนมาตรการที่ 2 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เคยให้ข้อมูลต่ออนุกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ว่า บริษัทบุหรี่ไฟฟ้า ควรนำมาขึ้นทะเบียน ให้ อย. ตรวจสอบ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมเพื่อใช้ในการเลิกสูบบุหรี่ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผู้ผลิตรายใดมาขอขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเลิกสูบบุหรี่กับ อย.
ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้เป็นสารทดแทนในการเลิกสูบบุหรี่ แต่เป็นจุดเริ่มต้นในการเสพติดบุหรี่หรือสารเสพติดประเภทอื่นในเด็กและเยาวชน สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ขอยืนยัน 9 เหตุผลที่ไทย ต้องคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า 1.เป้าหมายของผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าคือ เด็กและเยาวชน 2.บุหรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทางของการสูบบุหรี่ธรรมดาของเด็กและเยาวชน 3.บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตราย ทำลายสุขภาพ 4.นิโคติน ทำให้เสพติด อันตรายเกินคาด 5.บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริง 6.บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสังคมมากกว่าผลดี 7.บุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้ไทยถอยหลังในการควบคุมยาสูบ 8.การห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าคือ มาตรการสำคัญในการปกป้องเด็กจากการตกเป็นเหยื่อ และ 9.ควรยึดนโยบาย “ปลอดภัยไว้ก่อน” เพราะชีวิตคนไทยมีค่าเกินกว่าจะเอาไปเสี่ยง ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่ 12 ของโลกที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2557 และยังมีมีประเทศใดยกเลิกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าที่ออกมาแล้ว จึงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าของไทย เพื่อคุ้มครองเยาวชนไทยจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า
นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรมัย รองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คนที่ 2 กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญกับปัญหาผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้าที่แพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างหนัก จากผลสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนในประเทศไทย ปี 2564 โดยองค์การอนามัยโลก พบนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าถึง 13.6% บุหรี่ไฟฟ้า 1 แท่ง มีสารนิโคตินเท่ากับบุหรี่ซอง 20 มวน นิโคตินเป็นสารพิษทำลายสมอง จึงนับเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนโดยตรง สสส. จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย เร่งสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการและระบบข้อมูลข่าวสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของสังคมในประเด็น Hot Issue เช่น บุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้ากับโรคระบาดไวรัสโควิด-19 บุหรี่กับกัญชา และการปลูกพืชทดแทนใบยาสูบ เพื่อเสริมสร้างความรู้รอบทางสุขภาพด้านการควบคุมยาสูบให้แก่ประชาชนให้สามารถตระหนักและรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เหมาะสม
ปนัดดา วงษ์ผู้ดี โฆษกคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะสื่อมวลชน ขอให้สื่อมวลชนทุกแขนงเป็นกระบอกเสียงว่าทำไมไทยต้องแบนบุหรี่ไฟฟ้าและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้ประชาชนทราบ มีข้อเรียกร้อง 2 ประการ คือ 1.ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันให้ความรู้เยาวชน ให้รู้เท่าทันพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า และต้องทำหน้าที่ปกป้องเยาวชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของบุหรี่ไฟฟ้า 2.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการควบคุมไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าเข้าถึงเยาวชน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าทุกช่องทาง ซึ่งขณะนี้ในสื่อออนไลน์มีการบิดเบือนข้อมูลให้เข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยไม่อันตรายเพื่อจูงใจให้มาสูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก
ด้าน เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ชี้แจงว่า กรณีที่มีข้อมูลว่าบุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่า 2.2 เท่า เมื่อเทียบกับการสูบบุหรี่ธรรมดา การใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิดมากกว่าการสูบบุหรี่ นั้น ข้อสรุปดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถสรุปผลได้เช่นนนั้น และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับ ะประชาชน เนื่องจาก การศึกษานี้ไม่ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูล ประวัติการสูบบุหรี่ หรือ การใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทอื่น และไม่ได้มีการเช็คว่า ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามานานเท่าไหร่ ดังนั้นการสรุปว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งไม่ถูกต้อง เพราะอาจมีปัจัยอื่นที่ส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งได้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/F9BAB8D4-8692-45FD-8375-DD3517F36ED4-1024x684.jpeg)