เตรียมหาข้อสรุปร้องศาล หลังเอกชนไม่รื้อแนวรั้วปิดทางสาธารณะเกาะหลีเป๊ะ

ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ยื่นหนังสือถึง กมธ.ที่ดินฯ ตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดิน ซึ่งเกิดความขัดแย้ง ด้าน กสม.ส่งหนังสือถึง ผวจ.ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เร่งตรวจสอบแก้ไขปัญหา

วันนี้ (1 ธ.ค.65) จำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วยนายอำเภอเมือง สำนักงานที่ดินจังหวัด  ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่  และตัวแทนชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ร่วมประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา กรณีความเดือดร้อนจากการเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรดั้งเดิมชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ  

ภายหลังการประชุม อาทิตย์ ทะเลลึก ตัวแทนชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ เปิดเผยว่า วันนี้ทางเอกชนไม่มาเข้าร่วมประชุม  และแม้นายอำเภอจะแจ้งว่าทางเอกชนเจ้าของพื้นที่ โทรมายืนยันว่าจะหยุดการก่อสร้างรั้วปิดกั้นพื้นที่ แต่ก็ยังไม่รื้อแนวรั้วเดิมที่สร้างปิดกั้นบางส่วนก่อนหน้านี้  และหากจะให้รื้อออก ต้องให้ศาลสั่งหรือพิจารณาเท่านั้น ซึ่งทางจังหวัดไม่มีอำนาจให้รื้อ  

ดังนั้นในช่วงค่ำวันนี้ตัวแทนชาวบ้านจะหารือ กับทางทนายและตัวแทนมูลนิธิชุมชนไท ว่าจะเดินหน้าฟ้องศาลหรือไม่ หรือจะมีแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาในอนาคตหลังจากนี้ต่อไป

สำหรับในพื้นที่ขณะนี้ ชาวบ้านได้เก็บเต็นท์ที่ตั้งเพื่อเฝ้าระวังและคัดค้านการสร้างรั้วปิดพื้นที่แล้ว แต่ยังคงช่วยกันเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด เวลา 20.20 น. ชาวบ้านในพื้นที่แจ้งเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ชาวบ้านต้องกางเต็นท์ ตั้งจุดเฝ้าระวังอีกครั้ง เนื่องจากเจ้าของพื้นที่ มาแจ้งกับชาวบ้านว่า “ผมในฐานะเจ้าของที่ดิน ยังไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยงานราชการใด ๆ ทั้งสิ้น และ ไม่ได้ตอบรับให้บุคคลภายนอกเข้าใช้พื้นที่ โดยเส้นทางจะถูกปิดกั้นตลอดไปนับจากนี้และอนุญาตให้เฉพาะผู้เช่า และผู้ที่ทำหนังสือขอผ่านทางมาเท่านั้น บุคคลใดเข้าพื้นที่ จะถือว่าบุกรุกและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”​ แหล่งข่าวระบุ

นอกจากนี้ ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเมืองสตูล เพื่อขอประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า ด้วยชาวเลเกาะหลีเป๊ะร้องเรียนมายัง กสม.โดยอ้างว่าเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรดั้งเดิมของชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2452 จนถึงปัจจุบัน โดยเส้นทางดังกล่าวชาวบ้านใช้เดินไปโรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและ สุสาน รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรของนักท่องเที่ยว จึงร้องเรียนขอความช่วยเหลือ

เพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และป้องกันเหตุความรุนแรงที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงขอส่งเรื่องมายังจังหวัดสตูล เพื่อพิจารณาดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจตามมาตรา 48 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 ข้อ 15 วรรค 3  พร้อมขอให้แจ้งความคืบหน้าหรือผลการดำเนินการภายใน 15 วัน

ภาพจาก Facebook : Maitree jongkraijug

ด้านมูลนิธิชุมชนไท นำโดย ไมตรี จงไกรจักร ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท เป็นตัวแทนชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ยื่นหนังสือถึงประธานกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฏร ขอให้เร่งดำเนินการลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล

โดยในหนังสือระบุว่า ด้วยชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ มีผลกระทบความเดือดร้อนอย่างรุนแรงจากกรณีการซื้อขายที่ดินของผู้ที่ครอบครองเอกสาร นส.3 เลขที่ 11 ได้ทำการขายที่ดินจากเอกสารในแปลงดังกล่าวให้กับเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งพยายามเข้าครอบครองที่ดินที่เป็นบ้านชาวบ้าน โดยมีการเข้ามาในพื้นที่ชุมชนและรังวัดที่ดินครอบบ้านชาวเลรวมทั้งเส้นทางสัญจรต่าง ๆ ในชุมชน และที่สำคัญที่สุด เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน  2565 เวลา 15.00 น.  เอกชนรายนี้ได้ให้ลูกน้องมาเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรที่เป็นทางดั้งเดิมตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ.2452 เป็นต้นมา  

ซึ่งปัจจุบันชาวเลใช้เป็นเส้นทางสัญจรในการให้นักเรียนเดินเข้าโรงเรียน  ทางสัญจรเข้าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเกาะหลีเป๊ะ  ทางสัญจรเข้าสุสานชุมชนชาวเล  ทางสัญจรแห่พิธีกรรมในประเพณีลอยเรือ  ทางสัญจรในการออกสู่ทะเลเพื่อประกอบอาชีพ  รวมทั้งเป็นทางเดินของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ  ทำให้นักเรียน  ชุมชน  และนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จำนวนกว่า 1,000 คน   ต้องปีนรั้วเพื่อสัญจรซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียของจังหวัดสตูลและประเทศไทยอย่างมาก

ทั้งนี้ ชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะมีความเดือดร้อนที่สุด จึงได้รวมกลุ่มคัดค้านแต่ไม่เป็นผล  และร้องเรียนไปยังอำเภอส่วนหน้าเกาะหลีเป๊ะได้พยายามเจรจาก็ไม่เป็นผล  จนปัจจุบันมีการปะทะด้วยวาจาพร้อมทั้งเอกชนข่มขู่ชาวเลตลอดมาและพยายามสร้างรั้วปิดตลอด ชาวเลจึงตั้งเต็นท์เฝ้าระวังตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน  เนื่องจากชาวเลเกรงว่าเอกชนจะมาสร้างรั้วปิดกั้นจนไม่สามารถสัญจรได้  จึงขอให้กรรมาธิการฯลงพื้นที่เพื่อการตรวจสอบเอกสารสิทธิ ในที่ดินที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ในเกาะหลีเป๊ะ นส.3 เลขที่ 7 เลขที่ 10 และ เลขที่11 เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ภาพรวม  นส.3 ทั้ง 41 แปลง 

เนื่องจากชาวเลอูรักลาโว้ยที่เป็นผู้บุกเบิกและอาศัยที่เกาะหลีเป๊ะมาอย่างมากกว่า 113 ปี การกระทำเช่นนี้ส่งผลให้ชาวเลและคนในชุมชนตลอดจนนักท่องเที่ยวผู้ร่วมใช้เส้นทางสาธารณะไม่สามารถใช้ชีวิตบนเกาะหลีเป๊ะได้อย่างปกติสุข  ตามมติคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลซึ่งรัฐบาลต้องดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่มีความเปราะบางทางสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง  ขอโปรดช่วยเหลือชาวเลอูรักลาโว้ยอย่างเร่งด่วน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active