ภาคประชาชนรอผลักดันกฎหมายด้านมลพิษนาน 20 ปี มีความหวังหลังพรรคก้าวไกลเสนอเป็นนโยบายเตรียมแก้กฎหมาย 3 ฉบับ เชื่อ หากกระแสการเมืองเปลี่ยนขั้ว อาจไม่ได้ไปต่อ
26 ก.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) ให้สัมภาษณ์ในรายการตรงประเด็น ทางไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ระบุถึงสถานการณ์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการทำงานต่อจากนี้ หากกระแสการเมืองเปลี่ยนขั้วจากพรรคก้าวไกลที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสู่พรรคอันดับสองอย่างพรรคเพื่อไทย เพ็ญโฉม ระบุว่า กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ที่ตนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและผลักดันนโยบาย กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาด้านมลพิษ ซึ่งกฎหมาย นโยบาย และทิศทางการพัฒนาของไทยยังคงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข และสถานการณ์ยังรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง พรรคก้าวไกลเป็นเพียงพรรคเดียวที่มีการส่งคนมาทำงานร่วมรับฟังปัญหากับภาคประชาชน ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ก่อนจะมีการเสนอเป็นนโยบายที่จะผลักดัน 3 เรื่อง ได้แก่ กฎหมายอากาศสะอาด กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และกฎหมายปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register หรือ PRTR)
เพ็ญโฉม ยังเห็นว่าวิธีการทำงานของพรรคก้าวไกลเป็นการทำงานที่แตกต่างจากหลายรัฐบาลหรือพรรคการเมือง ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่กำลังเผชิญกับมลพิษ มีความหวังว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข ซึ่งความจริงแล้วการทำงานของภาคประชาชนยืนยันว่าอยากทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง ขอเพียงแค่มีความตั้งใจว่าจะทำและผลักดันปัญหาให้ได้รับการแก้ไขจริง ๆ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนเข้ามาทำงานจุดนี้ บางครั้งอาจเป็นคนก่อปัญหาในพื้นที่เสียเอง ส่วนการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษก็ไม่เคยมีพรรคไหนเสนอว่าจะจัดทำแผนการฟื้นฟูมาก่อน จนกระทั่งมีการลงนามใน MOU ร่วมกันของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล และตลอดสองเดือนที่ผ่านมา คณะทำงานก็เริ่มลงพื้นที่ สำรวจปัญหาและเตรียมจัดทำแผนเสนองบประมาณ ปี 2567 แต่เมื่อการเมืองเปลี่ยนทิศทาง ประเด็นนี้จะได้รับการเดินหน้าต่ออย่างไร
“การเมืองเปลี่ยนขั้ว ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจะชะงัก ไม่มีการผลักดันจนกว่าปัญหาจะปะทุขึ้นอีกรอบ ไม่มีพรรคไหนลงพื้นที่ รับฟังปัญหา ทำงานกับภาคประชาชนเหมือนอย่างที่พรรคก้าวไกลทำ”
หากมีการเปลี่ยนขั้ว และการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย เพ็ญโฉม เชื่อว่า จะมีประเด็นอากาศสะอาดที่ได้รับการผลักดัน เพราะเป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่สนใจ แต่ปัญหาอื่น ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมเชื่อว่าจะชะงักและไม่ได้รับการผลักดันต่อ แต่ภาคประชาชนยังคงทำงานต่อเนื่อง แต่จะยากมากขึ้น พร้อมชื่นชมการทำงานของพรรคก้าวไกล และเห็นว่าควรเป็นแบบอย่างของการทำนโยบายที่มาจากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้านจริง ๆ
“อยากให้ทุกพรรคที่จะมาเป็นรัฐบาลให้ความสนใจกับประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ที่ผ่านมามีพรรคก้าวไกลสนใจเรื่องนี้ ภาคประชาชนอยากทำงานกับทุกพรรค เราขอเชิญชวนให้ทุกพรรคเข้ามารับฟังปัญหา มีสัจจะ พูดแล้วทำ เหมือนที่รับปากไว้กับชาวบ้าน”
เพ็ญโฉม บอกอีกว่า ที่ผ่านมาปัญหาสิ่งแวดล้อม รัฐบาลอาจมองว่าเป็นการขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานของประชาชน หากสิ่งแวดล้อมดี คนมีสุขภาพดี มีสติปัญญา มีความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับชีวิต หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย หากทำได้ในมิติอื่น ๆ ก็จะเห็นผลดีตามมาเช่นกัน
สำหรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเปรียบเทียบระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล พบว่าทั้งสองพรรคมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกันหลายเรื่อง อาทิ การผลักดันอากาศสะอาด การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดการปัญหาด้านมลพิษ การจัดการปัญหาขยะ ฯลฯ