ผลศึกษา Air Quality Life Index (AQLI) มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐฯ พบ คนไทยเผชิญมลพิษทางอากาศหนักกว่าเกณฑ์ที่ WHO กำหนดถึง 5 เท่า ห่วงยิ่งปล่อยไว้ ไม่แก้จริงจัง ประชาชนเจอปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น อายุสั้นลง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/03/ฝุ่น-PM-2.5-1024x683.jpg)
วานนี้ (4 มี.ค.65) Thailand Can, เครือข่ายอากาศสะอาด จัดเวทีเสวนาออนไลน์ เปิดพื้นที่การศึกษาและปัญหาผลกระทบด้านสุขภาพจากไทยและต่างประเทศ ผลักดันให้รัฐบาลทุกประเทศให้ความสำคัญและตระหนักถึงผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศในหัวข้อ “สู้เพื่อลมหายใจของเรา ร่วมกันสร้างอากาศที่จะหายใจได้อีกครั้ง” มีวิทยากรจากหลากหลายประเทศเข้าร่วมเสนอข้อมูลทางวิชาการ
Dr.Kenneth Lee ผู้อำนวยการ Air Quality Life Index (AQLI) มหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งศึกษาเรื่องมลพิษทางอากาศหลายปีที่ผ่านมา พบว่า อายุของประชากรลดลงเมื่อฝุ่น PM2.5 เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นปัญหาของทั่วโลก ซึ่งพบมากสุดที่ South Asia, South east Asia, และ Asia โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่พัฒนา จะไม่ตระหนักกับปัญหานี้และความเชื่อมโยงของ PM2.5 ยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/03/unnamed-3-1024x715.jpg)
การพัฒนา AQLI จึงเริ่มขึ้น และเริ่มจากการศึกษาระดับมลพิษทางอากาศจากทั่วโลก จากนั้นเอาข้อมูลดังกล่าวมาตอบคำถามที่ว่า หากสามารถปรับปรุงและลดปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แล้ว จะช่วยคืนอายุขัยให้ประชากรได้มากน้อยแค่ไหน
ในปี 2020 ระดับมลพิษในประเทศไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2019 ถึง 10.8% ส่งผลให้ไทย อยู่ในอันดับ 4 ของภูมิภาค และเมื่อดูในระยะยาวจะเห็น ว่า ระดับ PM2.5 ในไทยเพิ่มขึ้น 22.7% จากปี 2000 และอยู่ในระดับที่สูงกว่า Guideline ของ WHO ถึง 5 เท่า เจาะลึกลงในระดับภาค จะเห็นว่า ภาคเหนือเป็นภาคที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุด ตามมาด้วยภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ส่วนแหล่งกำเนิด PM2.5 ในประเทศไทย หลัก ๆ มาจากมลพิษจากยานพาหนะ โรงงาน และการเผาทางการเกษตร
“หากมองถึงผลกระทบต่ออายุขัยของประชากร ปัญหามลพิษทางอากาศ ส่งผลกระทบต่ออายุขัยมากกว่าสาเหตุอื่น ๆ การแก้ปัญหาทำได้จริง แต่ต้องทำในระดับนโยบาย ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในประเทศจีน เมื่อทำจริงจัง”
มลพิษทางอากาศ บั่นทอนสุขภาพ – อายุสั้นลง
ผู้อำนวยการ AQLI มหาวิทยาลัยชิคาโก บอกด้วยว่า มีการวิจัยในประเทศจีนเกี่ยวกับอายุขัยที่ลดลงของการเพิ่มขึ้นของฝุ่น PM2.5 และนำมาเทียบเคียงกับประเทศไทย จะเห็นว่า หากไทยสามารถลดระดับมลพิษลงได้ 40% จะสามารเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยให้ประชากรไทยได้ โดยเฉลี่ยคนละประมาณ 1 ปี ถ้าภาคเหนืออยู่ที่ 1.3 ปี กล่าวโดยสรุปคือ คนไทย 68 ล้านคน อาศัยอยู่ในพื้นที่ทีมีมลพิษทางอากาศสูงกว่าที่ WHO แนะนำ อายุขัยของประชากรไทย ปัจจุบันถูกลดลงถึง 1.8 ปี ด้วยปัญหาดังกล่าว
Dr.Sumi Mehta นักระบาดวิทยาอาวุโส Vital Strategies มีประสบการณ์ในด้านการสาธารณสุขในหลายภูมิภาคทั่วโลก ระบุว่า ผลวิเคราะห์ที่Dr.Kenneth Lee นำเสนอ เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงปัญหาดังกล่าว วิธีการตีความผลงานวิจัย คือ ทารกแรกเกิดที่เกิดมาในประเทศไทยในสภาวะมลพิษในปัจจุบัน จะมีชีวิตเฉลี่ยสั้นกว่าที่ควรจะเป็นเกือบ 1 ปี และปัญหาของไทยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และมีแนวโน้มสูงกว่าที่ WHO แนะนำ ถึง 5 เท่า และได้พบว่า การเพิ่มขึ้นของประชากรมีปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเจอกับมลพิษทางอากาศ
“ประเทศไทยควรเริ่มใช้มาตรฐานมลพิษในเชิงผลกระทบต่อสุขภาพอย่างจริงจัง เราทราบดีว่าแหล่งกำเนิดมาจากไหน เรารู้ดีว่าต้องแก้ยังไง ดังนั้นการแก้ไขปัญหาต้องอาศัยระดับนโยบายอย่างจริงจัง”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/03/ฝุ่น-PM-2.5-1-1024x683.jpg)
เสนอเร่งศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์ ตัวช่วยรับมือพิษ PM2.5
ขณะที่ นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายอากาศสะอาด (ประเทศไทย) ระบุว่า มีหลักฐานมากมายจากทั่วโลกถึงความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษกับปัญหาทางสุขภาพ แต่ในประเทศไทยไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์เรื่องนี้มากนัก มีเพียงตัวอย่างบางกรณี ที่ต้องการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างปัญหามลพิษกับปัญหาสุขภาพที่ชัดเจนขึ้นกว่านี้
“สิ่งที่เราพยายามคือรวบรวมหลักฐานของผลกระทบจากมลพิษต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ การใช้ AQLI จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการสร้างความชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษดังกล่าว เราทราบกันดีว่า PM2.5 อันตราย แต่สิ่งที่อันตรายมากกว่าคือสารต่าง ๆ ที่มากับฝุ่น ดังนั้นจึงเป็นการสำคัญที่เราจะต้องศึกษาโดยละเอียดถึงแหล่งกำเนิดในพื้นที่ต่าง ๆ และผลกระทบที่แท้จริงต่อปัญหาของประชาชน”
บทเรียนอินโดนิเซีย กระตุกรัฐใส่ใจปัญหามลพิษทางอากาศ
Mr.Fajri Fadhillah นักกฎหมายสิ่งแวดล้อม Indonesian Center for Environmental Law ที่มีบทบาทผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมและการควบคุมมลพิษทางอากาศในประเทศอินโดนีเซีย และมีบทบาทในการฟ้องร้องประธานาธิบดีอินโดนิเซีย จากกรณีการไม่แก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เมื่อปีที่แล้ว ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ว่า ปัญหามลพิษทางอากาศในจาการ์ต้า ปี 2017 สิ่งที่ท้าท้ายอย่างแรกคือการสร้างพลังร่วม ผลักดันการแก้ปัญหาจากภาคประชาชน โดยในช่วงแรกยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเท่าที่ควร เพราะไม่รู้และไม่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จากนั้นจึงเริ่มพัฒนาหลักฐานที่ชัดเจนถึงปัญหามลพิษทางอากาศในจาการ์ต้า ในช่วงแรกเนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนทำให้ภาครัฐสามารถปฏิเสธปัญหาได้
“มลพิษในจาการ์ต้ามีสาเหตุมาจากหลายแหล่งไม่ใช่เฉพาะยานพาหนะเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่คนยังไม่รู้ ดังนั้นการวิเคราะห์รายละเอียดแหล่งมลพิษและผลกระทบจึงสำคัญ ตัวอย่างของอินโดนีเซียในการฟ้องร้อง คือ การเริ่มหาเครื่องวัดค่าฝุ่น PM2.5 ในช่วงแรกของการทำแคมเปญ คือ เน้นประชาชนและทำงานร่วมกับองค์กร NGO หลายองค์กร ในช่วงปี 2018/2019 กระบวนการฟ้องร้องรัฐ เริ่มในช่วงฤดูแล้ง ที่มีปัญหามลพิษสูง ทำให้ได้ประชาชนจำนวนมาก เราเน้นการแก้ปัญหามาจากภาคประชาชน ไม่ใช่รัฐหรือหน่วยงานใด”
สำหรับการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศของประเทศไทย ภาคประชาชนหลายเครือข่ายรวมถึงพรรคการเมือง พยายามเสนอให้มีการบังคับใช้กฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งประเด็นนี้ในวงเสวนาได้แลกเปลี่ยนเพิ่มเติม ว่า การมีกฎหมายเฉพาะ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดได้เพราะนโยบายไม่จริงจัง ชัดเจนมากพอ อีกทั้งการศึกษาปัญหาด้านสุขภาพของไทยที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ยังน้อยมาก จึงส่งผลต่อการผลักดันในเชิงนโยบายโดยเฉพาะการผลักดันให้มีดัชนีชี้วัดสุขภาพด้านผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ