เปิด 4 ข้อเสนอนโยบายเพื่อสันติภาพ ถึงรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร

มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม เขียนจดหมายเปิดผนึกเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ชายแดนใต้ ซ้อมทรมาน-บังคับสูญหาย และโทษประหารชีวิต หวังนายกฯ เห็นความสำคัญนำไปเป็นนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา

วันนี้ (26 ส.ค. 2567) โคทม อารียา ประธานมูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม (Peace and Culture Foundation) มีจดหมายเปิดผนึก “ข้อเสนอแนะนโยบายด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน” เสนอต่อรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร เพื่อพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีจะเข้าบริหารราชการแผ่นดินใน 4 เรื่อง

1. ข้อเสนอเพื่อการสมานไมตรีทางการเมือง

ที่ผ่านมาแม้รัฐบาลหลายรัฐบาลจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมาหลายชุด และมีข้อเสนอมากมายในเชิงหลักการ แต่ทว่ายังมีข้ออ่อนในทางปฏิบัติคือ ขาดกระบวนการและกิจกรรมเพื่อความปรองดองและการสมานไมตรีที่กว้างขวางและต่อเนื่อง มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเพื่อการสมานไมตรี โดยมีการดำเนินการ ดังนี้

1.1 แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อ (1) ศึกษาและเสนอแนะนโยบาย มาตรการ กลไก และวิธีการแปลงเปลี่ยนความขัดแย้งอย่างสันติและสร้างสรรค์ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนฟื้นคืนความยุติธรรมแก่สังคม และเพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของความบาดหมางใหม่ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง (2) พัฒนาและจัดให้มีกระบวนการถกแถลงที่เปิดกว้างต่อสาธารณะ โดยอาศัยการสื่อสารทั้งต่อหน้ากันและผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อแสวงหาความเห็นพ้องในสังคม ในประเด็นที่อาจเป็นข้อขัดแย้งระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงกรณีที่รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 77 วรรคสอง และ (3) พัฒนาและจัดให้มีกระบวนการคนกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการพูดคุยระหว่างภาคีความขัดแย้งที่เอื้อต่อการแสดงออกอย่างเสรี เป็นธรรม และปลอดภัย ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างกัน อันนำไปสู่การยอมรับคุณค่าของการอยู่ร่วมกันโดยเคารพความแตกต่าง

1.2 ดำเนินการให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา ผู้ต้องหา จำเลย หรือนักโทษคดีการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการทำกิจกรรมทางการเมืองโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ตลอดจนนักโทษทางความคิด ความเชื่อ หรือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดีเพราะเหตุผลทางการเมือง

1.3 มีมติเรื่องการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อถามความเห็นจากประชาชนว่า “เห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือไม่” ทั้งนี้ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่เปิดให้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองที่เอื้อต่อการสมานไมตรีดังกล่าว

2. ข้อเสนอเพื่อการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้

กระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และมีเป้าหมายไม่เฉพาะเพียงการยุติความรุนแรงทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างความยุติธรรม ความเสมอภาค และการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลกำหนดนโยบายสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการดำเนินการ ดังนี้

2.1 ทบทวนการประกาศใช้กฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ตามหลักการของมาตรา 77 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายทั้งสองฉบับและกฎหมายด้านความมั่นคงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทันสมัย เกิดความสมดุลในการปฏิบัติระหว่างความมั่นคงของประเทศ สังคม และชุมชน บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

2.2 ทบทวนโครงสร้างการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ใหม่ เพื่อลดความซับซ้อนและดำเนินตามหลักการควบคุมโดยพลเรือน (Civilian Control) โดยขอให้ศึกษาและกำหนดความสัมพันธ์ของหน่วยงานพลเรือนและทหาร เพื่อให้ร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิผลอันจะนำไปสู่สันติภาพและความยุติธรรม

2.3 จัดให้มีเวทีปรึกษาหารือเพื่อเปิดพื้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงหรือผู้มีบทบาททั้งด้านการใช้ความรุนแรงและด้านส่งเสริมสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งผู้นำด้านการทหารและการเมือง ผู้นำทางสังคมและธุรกิจ และผู้นำชุมชนและประชาสังคม เพื่อนำไปสู่การสร้างภาพอนาคตหรือยุทธศาสตร์ร่วมกัน และนำเสนอผลการหารือดังกล่าวสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่ตัดสินใจเชิงนโยบายในกระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติ

2.4 ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านการเก็บสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร รวมทั้งของเด็กและเยาวชนตามโรงเรียนและสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้

2.5 ยอมรับและเคารพในความเป็นพหุวัฒนธรรมของสังคมไทย ขจัดอคติและการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ศาสนา และดำเนินมาตรการในการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร การโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้เกิดความเกลียดชังทางเชื้อชาติและศาสนาไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด ทั้งหน่วยงานของรัฐจะต้องไม่สนับสนุนการกระทำดังกล่าวไม่ว่าในทางหรือรูปแบบใด ๆ รวมทั้งประกันการเคารพ ยึดถือ และปฏิบัติซึ่งสิทธิในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม รวมทั้งวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตัวอย่างการส่งเสริมพหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มี อาทิ การริเริ่มด้านทักษะวัฒนธรรม (Cultural Fluency) ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร การเรียนการสอนแนวทวิ/พหุภาษา (Bi/Multilingual Education) ของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล และการสร้างความสัมพันธ์ข้ามศาสนา (Interfaith Relations) เป็นต้น

3. ข้อเสนอเพื่อเร่งรัดการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยมีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเร่งรัดการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้

3.1 เร่งรัดหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ได้จัดทำระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือคำสั่ง ตลอดจนการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายลำดับรองของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

3.2 ให้มีการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคม ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมทั้งพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง

3.3 ร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคมและผู้ได้รับผลกระทบจากการทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อดำเนินมาตรการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเข้มงวดและจริงจัง โดยเฉพาะการเยียวยาผู้ถูกละเมิดและครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหาย รวมทั้งการติดตามตรวจสอบกรณีสูญหายที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายนี้ใช้บังคับ

4. ข้อเสนอเพื่อยุติโทษประหารชีวิต

ด้วยการประหารชีวิตเป็นการลิดรอนสิทธิในการมีชีวิต (Right to Life) ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และยังเป็นการปิดโอกาสมิให้ผู้ถูกลงโทษได้กลับตัวกลับใจ อีกทั้งในกรณีการตัดสินคดีที่มีข้อผิดพลาด ก็ย่อมทำให้ไม่สามารถคืนความยุติธรรมแก่ผู้ถูกลงโทษได้ มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเพื่อยุติโทษประหารชีวิต ดังนี้

4.1 ยุติโทษประหารชีวิตซึ่งจะแทนที่ด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิต และในระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้ ขอให้พักการบังคับโทษประหารชีวิตไปพลางก่อน

4.2 จัดให้มีการศึกษาและยกร่าง “พ.ร.บ.การใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทนโทษประหารชีวิต พ.ศ….” เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโทษทางอาญาจากโทษประหารเป็นจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้ ด้วยความเคารพสิทธิในการมีชีวิต ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงความจำเป็นที่จะปกป้องสังคมจากอาชญากรรมร้ายแรง ตลอดจนการเยียวยาผู้เสียหายโดยตรงจากอาชญากรรมดังกล่าว

สำหรับการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา มีการคาดการณ์ว่าจะมีขึ้นในเดือนกันยายน 2567 โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพรรคการเมืองส่งรายชื่อรัฐมนตรีให้นายกรัฐมนตรี เพื่อให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบคุณสมบัติ จากนั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก่อนจะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active