ฝ่ายค้านพบประชาชน ‘ก้าวไกล’ ชี้ ระบบงบประมาณไม่เคยตอบโจทย์ประเทศ

“ชัยธวัช“ ปาฐกถา”ปลดล็อกวิกฤตงบประมาณ“ชวนคิด 5 มิติใหม่ปฏิรูปยกเครื่องระบบงบประมาณ ด้าน พิธา นำทีมช่วยหาเสียงเลือกนายก อบจ.ราชบุรี ย้ำ ถ้าก้าวไกลถูกยุบ ขอให้เป็นพรรคสุดท้าย

วันนี้ (3 ส.ค. 2567) ที่อาคารรัฐสภา พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดกิจกรรมผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน “ปลดล็อกวิกฤตงบประมาณ” โดยในช่วงเช้า มีปาฐกถาพิเศษจาก ชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต่อด้วยวงเสวนาในช่วงสาย และกิจกรรมแบ่งกลุ่มอภิปรายในช่วงบ่าย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทดลองการออกแบบงบประมาณด้วยตัวเองร่วมกัน

ฝ่ายค้าน

โดยในส่วนของปาฐกถาโดยผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ชัยธวัช ระบุว่าเมื่อพูดถึงเรื่องของงบประมาณ เราไม่อยากให้หมายถึงแค่การจัดสรรงบประมาณโดยรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่อยากเชิญชวนให้คิดถึงการปลดล็อกระบบงบประมาณของประเทศที่ควรมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ให้ได้เร็วที่สุดในอนาคตด้วย เวลาพูดถึงการดำเนินนโยบายสาธารณะ มีสามสิ่งที่ต้องตอบโจทย์คือ คน-กฎ-งบประมาณ บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวข้องโดยตรงสองเรื่อง คือเรื่องของกฎและเรื่องของงบประมาณ แม้จะนำเสนอจากฝ่ายบริหารแต่ผู้พิจารณาอนุมัติคือผู้แทนราษฎรและรัฐสภา ในฐานะสถาบันทางการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้ามา

เวลาพูดถึงงบประมาณของรัฐบาล โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจถดถอย หลายคนจะนึกถึงค่าใช้จ่ายภาครัฐ (G) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรทางเศรษฐกิจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการพัฒนาประเทศ แต่วันนี้ตนอยากชวนให้ทุกคนมาร่วมกันคิดถึงงบประมาณของรัฐ ที่ไม่ใช่แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น แต่อยากชวนให้คิดถึงการจัดสรรงบประมาณใน 5 มิติ กล่าวคือ

มิติที่ 1) ความคุ้มค่า เนื่องจากงบประมาณภาครัฐมาจากภาษีประชาชน การใช้งบประมาณต้องตอบโจทย์ความคุ้มค่า แต่การจัดสรรงบประมาณที่ผ่านมามักเห็นว่ามีการจัดสรรและใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า จากสาเหตุจากอย่างน้อย 4 ประการ คือ

  1. การตั้งโครงการที่ประมาณการมาเกินจริง ประมาณการต้นทุนต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งมักเกิดขึ้นในโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ที่สุดท้ายกลายเป็นถูกใช้อย่างไม่คุ้มค่าหรือถูกปล่อยทิ้งร้าง
  2. การจัดทำตัวชี้วัดในการเสนอโครงการของบประมาณต่างๆ โดยเน้นแต่ผลผลิต เช่น ตั้งโครงการอบรมสัมมนาอัพสกิล-รีสกิล โดยตั้งตัวชี้วัดว่าจะสามารถจัดได้กี่ครั้ง มีคนมาร่วมกี่คน แต่ไม่สนใจตัวชี้วัดที่เป็นผลลัพธ์ที่แท้จริง เช่น คนที่ผ่านการอบรมแล้วจะสามารถยกระดับศักยภาพเข้าสู่การจ้างงานแบบใหม่ๆ ได้กี่คน
  3. ความซ้ำซ้อน เช่น นโยบายสร้างรัฐบาลดิจิทัล หรือคลาวด์เฟิร์สต ที่หน่วยราชการเร่งมาของบประมาณเพื่อติดตั้งเซิฟเวอร์สร้างระบบคลาวด์ของตัวเองเต็มไปหทด แล้วรัฐบาลก็ปล่อยให้ของบประมาณแบบนี้ทุกปี ซ้ำซ้อนกลายเป็นเบี้ยหัวแตก
  4. การจัดสรรงบเพื่อตอบโจทย์ทางการเมือง ซึ่งตนคงไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง

มิติที่ 2) งบประมาณเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ๆ ของประเทศ หรือระบบงบประมาณและการจัดสรรที่ควรมีส่วนช่วยทำให้ประเทศพร้อมรับมือความท้าทายใหม่และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศไปด้วย ไม่ใช่การจัดสรรงบประมาณตามความเคยชินโดยไม่มียุทธศาสตร์ที่จับต้องได้

ตัวอย่างเช่น เราทราบดีว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ที่เป็นอุตสาหกรรมเสาหลักในภาคการผลิตไทยมาไม่ต่ำกว่า 3 ทศวรรษ กำลังเผชิญความท้าทายใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและคนงาน คือการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่แทนที่เราจะได้เห็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำให้ภาคอุตสาหกรรมแบบเดิมพร้อมเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ให้ทันกาล เรากลับเห็นการใช้งบประมาณเพื่ออุดหนุนการขายรถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตต่างชาติ ซึ่งแทบไม่มีส่วนสำคัญกับการจ้างงานและผู้ผลิตในประเทศเลย และยิ่งจะนำไปสู่การล่มสลายของอุตสาหกรรมในอัตราเร่งที่รวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

อีกตัวอย่างคือการยกระดับรายได้ภาคเกษตรและผลิตภาพของภาคเกษตรไทย ซึ่งมีปัญหามากมาย ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ต้นทุนสูง หนี้สิน การขาดเทคโนโลยี ฯลฯ แต่เรากลับไม่เห็นยุทธศาสตร์ แผน หรือกรอบงบประมาณที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา ปัจจุบันรัฐบาลเองก็ยังไม่มีความแน่นอนในทางนโยบาย ระหว่างโครงการไร่ละพันกับปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งยิ่งสะท้อนตัวอย่างของการคิดแบบไม่เข้าใจชีวิตของเกษตรกร ไปสนับสนุนปุ๋ยในช่วงที่ชาวนาใช้ปุ๋ยไปแล้ว และสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น คือการที่ภาครัฐเคยชินกับการใช้งบประมาณเพื่ออุดหนุนภาคเกษตรในแบบที่ไม่เพิ่มแรงจูงใจและเพิ่มผลิตภาพให้เกษตรกรในระยะยาว

มิติที่ 3) งบประมาณในฐานะการเสริมพลังสังคม เพื่อแก้ปัญหาสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจและโอกาสทางเศรษฐกิจ ระบบงบประมาณที่ดีจะต้องเสริมพลังให้แก่สังคมในส่วนที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและโอกาสในการพัฒนาตนเอง ต้องใช้งบประมาณเสริมพลังอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และไม่คิดแทนประชาชนไปทุกเรื่อง แต่สิ่งที่เราพบในการจัดสรรงบประมาณทั้งในปี 2567 และ 2568 คือเราไม่เห็นงบประมาณในกาคเสริมพลังประชาขน ทั้งโจทย์สวัสดิการสำหรับเด็กเล็ก สวัสดิการเลี้ยงดูบุตรในภาวะที่ควรจะต้องส่งเสริมเด็กเกิดใหม่ ผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลมากขึ้นในอนาคต การอัพสกิล-รีสกิล เราพบว่ามีงบประมาณจัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์เช่นนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือถูกใช้ในแบบที่ไม่ตอบโจทย์

มิติที่ 4) เสถียรภาพของการใช้งบประมาณ ด้วยการบริหารให้มีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอรองรับสถานการณ์ที่โลกปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูงและวิกฤติใหม่ๆ สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างเช่นโรคระบาด หรือสงคราม สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงในหลายประเทศมหาอำนาจ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องบริหารงบประมาณในแบบอนุรักษนิยมที่ไม่ใช้จ่ายหรือไม่กู้ยืมอะไรเลย แต่หมายความว่าระบบงบประมาณต้องมีสมดุลและพร้อมเสมอสำหรับการรับมือความท้าทายของโลก

มิติที่ 5) งบประมาณในฐานะการสร้างประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อระบบอุปถัมภ์ ซึ่งที่ผ่านมาการใช้งบประมาณหลายครั้งได้นำไปสู่การอุปถัมภ์ระหว่างรัฐมนตรี-สส. หรือฝ่ายการเมือง-ข้าราชการประจำ หรือการใช้งบเพื่อสร้างฐานทางการเมืองในพื้นที่ หรือที่เรียกกันว่า “บ้านใหญ่” ซึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมาเราได้ทดลองตรวจสอบงบประมาณหลายส่วน เช่น ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ว่าถูกจัดสรรไปที่ไหนบ้าง ก็พบเห็นรูปแบบที่คล้ายกันคือการกระจุกตัวอย่างไม่ได้สัดส่วนและสมเหตุสมผล เพียงเพื่อตอบโจทย์การอุปถัมภ์ทางการเมืองในลักษณะนี้

ก้าวไกล

ชัยธวัชกล่าวต่อไป ว่าการจัดเวทีในวันนี้ ก็เพื่อการฉายภาพให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการจัดสรรงบประมาณเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะในวงเสวนาแยกทั้ง 4 วง ที่มี สส. ในคณะกรรมาธิการงบประมาณ มาร่วมให้ผู้เข้าร่วมในวันนี้ได้ทดลองออกแบบ เห็นภาพการจัดทำงบประมาณทั้งในแบบที่ผ่านมาและในแบบที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต

“เวทีวันนี้ไม่ใช่แค่การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่อยากชี้ชวนให้คิดไปไกลถึงอนาคตว่าเรามีความจำเป็นยกเครื่องการจัดสรรงบประมาณอย่างไร ด้วยความเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของประชาชน การทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การกระจายอำนาจและงบประมาณไปสู่ประชาชนและท้องถิ่นในอนาคต จะทำให้ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาของเราตอบโจทย์สังคมและประชาชนมากขึ้นได้อย่างไร”

พิธา นำทีมช่วยหาเสียงเลือกนายก อบจ.ราชบุรี ย้ำ ถ้าก้าวไกลถูกยุบ ขอให้เป็นพรรคสุดท้าย

ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมด้วย สส.พรรคก้าวไกล ร่วมขึ้นรถแห่ปราศรัยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ‘หวุน ชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ ‘ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี ในนามพรรคก้าวไกล ในพื้นที่ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

โดยในตอนหนึ่งของปราศรัย พิธากล่าวถึงสถานการณ์คดียุบพรรคก้าวไกลที่ศาลรัฐธรรมนูญมีนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ว่าพรรคการเมืองคือตัวแทนของประชาชน เราได้รับความไว้วางใจมาใช้อำนาจแทนประชาชน แต่ในประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีความพยายามทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง เมื่อพรรคการเมืองอ่อนแอลงก็หมายความว่าอำนาจของประชาชนอ่อนแอลงด้วย และเมื่อมันมีผลกระทบต่ออำนาจของพี่น้องประชาชน นั่นคือผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยที่พวกเราหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง

“เพราะฉะนั้นอย่ายอมเขา อย่าสิ้นหวัง เก็บความโกรธแค้นเอาไว้ ชนะทั้งทีให้มันถูกต้อง ชนะให้มันขาด เราจะชนะให้เขาปฏิเสธเราไม่ได้อีกต่อไป”

พิธา ยังกล่าวอีกว่า เราต้องไม่ยอม แต่ไม่ใช่ไม่ยอมเพื่อพรรคก้าวไกล เพื่อพิธา หรือพรรคการเมือง 33 พรรคที่เคยถูกยุบมาก่อน แต่ต้องไม่ยอมเพราะคืออำนาจของประชาชน ไม่ว่าจะเคยเลือกพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักษาชาติหรืออนาคตใหม่ พรรคเหล่านั้นล้วนเป็นตัวแทนประชาชนทั้งสิ้น การทำลายพรรคเหล่านั้นคือทำลายอำนาจประชาชน

“ถ้าวันพุธนี้ผมไม่มีโอกาสกลับมาหาพี่น้องในฐานะผู้แทนราษฎรอีกต่อไป ก็ขอให้พิธาและพรรคก้าวไกลเป็นคนสุดท้าย ที่เกิดโดยประชาชนแต่ถูกยุบลงไปจากอำนาจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชน”

โดยพิธากล่าวทิ้งท้ายว่า ขอพี่น้องประชาชนไม่ต้องกังวลใจ ตนและพรรคก้าวไกลได้ทำเต็มสุดความสามารถแล้ว ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป และวันพุธนี้จะขอไปฟังคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง แต่ระหว่างนี้ตนเองและพรรคก้าวไกลจะไม่เสียสมาธิ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ทุกวันแน่นอน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active