นักวิชาการด้านเกษตร ให้ข้อมูล ระบุข้าวเก่ามีเชื้อรา แบคทีเรีย ชี้ขายให้คน สัตว์กิน ได้ไม่คุ้มเสีย แนะใช้ผลิตแอลกอฮอล์ – น้ำส้มสายชู แทนนำมาบริโภค
วันนี้ (8 พ.ค. 2567) สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงประเด็นคุณภาพข้าวในโครงการจำนำข้าวที่เก็บมานานกว่า 10 ปี และกำลังจะถูกนำออกมาประมูล ว่า หากสงสัยก็ส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้เวลา 7 วัน ตรวจก็รู้ผลเลย แต่ต้องเก็บพยานหลักฐานเยอะ ไม่ใช่เก็บมาจากข้างบ้านแล้วพูดผิดๆ ถูกๆ ไม่ได้
เมื่อถามว่าข้าว 10 ปีนี้ ควรบริโภคหรือไม่ รมว.สธ. บอกว่า ไม่มีข้อมูล โดยยอมรับว่า เป็นเรื่องใหม่ คนอื่นคงตอบได้ แต่ตนไม่กล้าตอบ
“หากพูดถึงข้าว เรื่องความชื้นของข้าวใหม่ จะมีความชื้นประมาณ 35% เก็บไว้ 1 ปี ความชื้นเหลือ 17% เก็บ 10 ปี ความชื้นอาจจะเหลือ 1 หรือ 2% เปลี่ยนแปลงไปตามภูมิศาสตร์ อุณหภูมิ มันเก็บเป็น 10 ปีแล้ว ความเหมือนคงไม่เหมือนกับข้าว 1 ปี คงไม่เหมือนกัน”
สมศักดิ์ เทพสุทิน
ด้าน รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ ที่ปรึกษาฝ่ายวิจัยและวิชาการ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ระบุ “กรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรับประทานโชว์กัน ขอบอกว่า ท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยาน ว่า ข้าวนั้นกินได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วย”
- ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่าง ๆ (รวมถึงข้าว)ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing) อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 °C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว
- กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่างๆ
- แม้จะรมยาแต่สถาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าว ด้วง
- การที่เมล็ดข้าวมีความชื้น ส่งเสริมการเติบโตของมอด แมลงต่างๆ หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15ครั้ง ตามข่าว ซึ่งข้าวปกติล้างไม่ถึง 3 ครั้ง)
- การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย ทำให้เน่าได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
- จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่าย ๆ โดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent) ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C และยังจะมีสารพิษอื่น ๆ ตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่หุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง
รศ.พันทิพา ยังแสดงความเห็นให้คำแนะนำ ดังนี้
- อย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น สำหรับผู้บริโภคโดยตรง
- กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ จะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อราตกค้างในอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
- การนำไปขายให้อัฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งจะได้เปรียบ กว่าจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง โดยเขาไม่ต้องออกแรงเลย และที่สำคัญบาปตกอยู่กับผู้คิด ผู้ขาย แน่นอน
- ขอแนะนำให้นำข้าวเหล่านี้ ไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู จะดีกว่า สอบถามนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การอาหารต่อไป
รศ.พันทิพา หมายเหตุด้วยว่า การตรวจสอบสารพิษเหล่านี้ มีตามมหาวิทยาลัยที่มีห้องแลปตรวจอาหารทั่วไปหรือกรมปศุสัตว์หรือบริษัทรับตรวจสารพิษในอาหาร