รพ.อภัยภูเบศรฯ นำร่องตรวจ DNA คนไร้สถานะ ช่วยเข้าถึงสิทธิบัตรทอง

พบที่ผ่านมาการยืนยันตัวตนต้องไปตรวจ DNA ที่ส่วนกลางในกรุงเทพฯ​ เป็นอุปสรรคเข้าถึงบริการ ขณะที่ นายอำเภอนาดี จ.ปราจีนบุรี เผยในพื้นที่ยังพบผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียนอีกมากส่วนใหญ่เป็นคนยากจน   “รพ.อภัยภูเบศรฯ” ช่วยตรวจยืนยันตัวตนผู้ไร้สถานะแล้ว 61 คน 

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2566 รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาการเข้าถึงบริการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ของกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสิทธิสถานะ ภายใต้“โครงการพัฒนาเครือข่ายการจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร” ที่ดำเนินการโดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ว่า สปสช. ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นแห่งแรกที่มีการรับหน้าที่เป็นศูนย์ในการเก็บตัวอย่าง DNA ส่งตรวจ ซึ่งจะเห็นว่าผู้ที่มีปัญหาสิทธิสถานะส่วนใหญ่มักจะเป็นคนยากจนหรือคนที่ด้อยโอกาส 

แม้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์มีนโยบายช่วยเหลือและมีโครงการตรวจ DNA โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ที่ผ่านมายังมีอุปสรรคที่ผู้เข้ารับการตรวจ DNA เพราะต้องเดินทางมาตรวจที่กรุงเทพฯ ทำให้หลายรายไม่มีค่าเดินทางเพียงพอ กลายเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในการเข้าถึงบริการ 

ดังนั้น การที่มีโรงพยาบาลในพื้นที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจ DNA จึงช่วยลดอุปสรรคเรื่องการเดินทาง อีกทั้งทำให้กระบวนการตรวจ DNA รวดเร็วขึ้น ช่วยลดระยะเวลาในการได้บัตรประชาชน และสิทธิการรักษาพยาบาลในระบบบัตรทอง รวมถึงอีกส่วนสำคัญในการดำเนินการในครั้งนี้ คือเครือข่ายการปกครองและเครือข่ายยุติธรรมประจำจังหวัดที่สนับสนุนเอื้ออำนวยให้บุคคลที่มีปัญหาเหล่านี้สามารถเข้าถึงสิทธิของตนเองได้ ไม่ใช่เพียงสิทธิทางสาธารณสุขอย่างเดียว แต่ยังได้สิทธิสวัสดิการทางสังคมอีกด้วย

“ประชาชนที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนแต่มั่นใจว่าตนเองเป็นคนไทยเข้าสู่ขบวนการได้ โดยเดินทางไปที่หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ในแต่ละจังหวัด หรือเข้าพบหน่วยงานภาคประชาชนที่เรียกว่าหน่วย 50(5) ที่เป็นหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนอิสระ เพื่อที่จะพาท่านเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ตัวตนต่อไป”

รศ.ภญ.ยุพดี กล่าว

ด้าน ธรรมรัฏฐ์ งามแสง นายอำเภอนาดี จ.ปราจีนบุรี บอกว่าพื้นที่ อ.นาดี มีผู้ที่มีปัญหาสิทธิสถานะที่ถูกตรวจสอบโดยรายที่มีปัญหาและได้รับการแก้ไขปัจจุบันคือ กรณีของ หนึ่ง ลำพอง ที่มีสมาชิกผู้มีปัญหาสิทธิสถานะในครอบครัวจำนวนมากถึง 8 คนซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการเข้าถึงการดูแลรักษาจากระบบสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่ารักษาพยาบาล หรือเรื่องของสิทธิที่ควรได้รับจากรัฐบาล

ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมามีการพิสูจน์สิทธิสถานะ โดยใช้วิธีการดูเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ดังนั้นผู้ที่มีรายชื่อตกหล่นก่อนจะได้สัญชาติไทยต้องมีหลักฐาน และต้องมีการทดสอบพยานบุคคล แต่ผู้คนเหล่านี้ส่วนมากมักจะไม่มีพยานหลักฐานจึงทำให้ประสบปัญหาเรื่องเอกสารและไม่มีพยานบุคคล

นายอำเภอนาดี บอกอีกว่า หลังมีการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) ได้ที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศ ก็ช่วยได้มาก ตรวจสอบได้ง่าย เพราะผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นตัวช่วยยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวคือใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรในครอบครัว

อย่างไรก็ตาม ในอดีตการที่จะได้เข้ารับการตรวจ DNA จะต้องมีการเดินทางเข้าไปตรวจที่ส่วนกลางหรือกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีจึงทำให้มีประชาชนไม่สามารถเดินทางเพื่อรับการตรวจ DNA ได้ แต่ปัจจุบันได้มีการตรวจ DNA ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทำให้ประชาชนเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งสามารถลดเวลาในการดำเนินการ จากอดีตที่เคยดำเนินการยาวนานประมาณ 1 ปีให้เหลือระยะเวลาเพียง 5-6 เดือน 

ด้าน พญ.โศรยา ธรรมรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  บอกว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเริ่มต้นเข้าร่วมโครงการจากการที่มีเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์เข้ามาปรึกษาถึงปัญหาผู้ป่วยที่มีปัญหาสิทธิสถานะต้องเข้ารับการรักษาและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูง อีกทั้งไม่สามารถเข้าร่วมสิทธิบัตรทองได้ เนื่องจากขาดหลักฐานแสดงตัวตน จึงเริ่มมีการตรวจยืนยันตัวตนด้วย DNA ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19  ในขณะนั้นต้องมีการพาผู้ป่วยที่มีปัญหาสิทธิสถานะเดินทางไปยังกรุงเทพฯ เพื่อเข้ารับการยืนยันตัวตน และพบว่ามีค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการดำเนินการสูง จึงได้มีการปรึกษาหารือร่วมกันถึงวิธีการแก้ปัญหา  

“โรงพยาบาลมองว่าการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ไม่เฉพาะแค่การรักษาอย่างเดียว แต่รวมถึงให้กลุ่มนี้ได้เข้าถึงสิทธิอีกด้วย โดยได้ประสานงานกับหลายหน่วยงาน ทั้ง สปสช. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อผลักดันให้ได้รับบัตรประชาชนและเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลนำร่องพิสูจน์อัตลักษณ์สามารถผลักดันให้ผู้มีปัญหาสิทธิสถานะเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ตัวตนและได้รับบัตรประชาชนไปแล้ว 61 คน”  

พญ.โศรยา กล่าว 

สำหรับโครงการพัฒนาเครือข่ายการจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร เป็นผลสืบเนื่องจากบันทึกความร่วมมือ(MOU) เมื่อปี พ.ศ. 2564 ของ 9 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ สปสช. เพื่อบูรณาการความร่วมมือดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังเข้าไม่ถึงบริการในระบบบัตรทอง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active