เด็กในครอบครัวกว่า 70 ชุมชนแออัด กทม. พบพัฒนาการถดถอย ขาดการศึกษาต่อเนื่องมากสุด ขณะที่ กทม. เร่งสร้างกลไกศูนย์เด็กเล็ก พัฒนาการเรียนรู้ ทักษะผู้สอน ปรับเงินอุดหนุน หวังแก้ปัญหาตรงจุด
การไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง ยังเป็นสิ่งที่ทุกชาติควรปฏิบัติ เพราะตามหลักสิทธิของเด็ก 4 ด้าน ที่ควรมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม และตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ และถือประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง คือสิ่งที่เป็นหลักสากลที่ต้องปฎิบัติ แต่ขณะนี้พบเด็กยากจนหลายคนกำลังถูกทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง จากผลกระทบโควิด-19
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า หลังมีโครงการการเฝ้าระวังและฟื้นฟูผลกระทบต่อเด็กในภาวะยากลำบากภายหลังการระบาดของ โควิด-19 และนโยบายของกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังและฟื้นฟูผลกระทบต่อเด็กจากภาวะยากลำบากภายหลังการระบาดของ โควิด-19 ได้พัฒนาระบบค้นหากลุ่มเด็กยากจนและอยู่ในครอบครัวที่มีภาวะบกพร่องซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดออกนอกระบบการดูแลสุขภาพและระบบการศึกษา และเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 โดยทำงานร่วมกับครูปฐมวัย อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) อาสาสมัครพัฒนาสังคม (อพม.) กว่า 70 ชุมชน โดยศึกษาเด็กปฐมวัย 1,392 คน ในพื้นที่ชุมชนแออัด พบว่า
ร้อยละ 41 ของเด็กเหล่านี้ยากจนและขาดแคลนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
ร้อยละ 24 ต้องอยู่ในครอบครัวที่มีภาวะบกพร่องอย่างน้อย 2 ใน 5 ด้าน (ครอบครัวที่มีภาวะแตกแยก, ตีกัน, ติดคุก, ติดยา, สภาพจิตไม่ปกติ)
ร้อยละ 28 ได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม อย่างน้อย 1 ใน 5 ด้าน (ละเลยทางกาย, ละเลยทางอารมณ์, ทำร้ายทางกาย, ทำร้ายทางอารมณ์, ทำร้ายทางเพศ) ในช่วงโควิด-19
ร้อยละ 77 มีพัฒนาการถดถอย
และ ร้อยละ 90 ขาดการศึกษาต่อเนื่อง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/01/327789023_736199927809483_741505401796753214_n-1024x683.jpg)
“เด็กบางคนถูกค้นพบว่า แม้ถึงวัยที่จะเข้าสู่สวัสดิการเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งจะได้รับการช่วยเหลือทั้งค่าเรียน ค่าอาหารและนม แต่ก็ยังอยู่นอกระบบการศึกษาปฐมวัย เด็กนอกระบบกลุ่มนี้มีสัดส่วนของความยากจน ภาวะครอบครัวบกพร่องถึงร้อยละ 90”
จากผลที่ได้คาดว่า ร้อยละ 23.6 ของเด็กในพื้นที่ชุมชนแออัดต้องตกอยู่ในภาวะยากลำบาก หรือ ปริแยก แตกร้าว คือ อยู่ในครอบครัวที่มีภาวะยากจน ขาดแคลน ภาวะครอบครัวบกพร่อง หรือได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม ที่มีความรุนแรงที่ต้องให้การช่วยเหลือ คิดเป็น 5,360 คน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/01/48EF3061-4E4F-4E7C-BE5F-EEEBC2D39D5E.jpeg)
“ก่อนหน้านี้ ครูปฐมวัย อสส. อพม. ในพื้นที่ปฏิบัติงาน และนักวิชาการของโครงการ ได้ให้การช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบขจากการระบาดโควิด-19 ทั้งทางสุขภาพ โภชนาการ การส่งเสริมพัฒนาการ การเชื่อมต่อสู่การช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ มีการติดตามเยี่ยมบ้าน (Intensive Home Visit) ทำงานกับครอบครัวเหล่านี้ต่อเนื่อง และการจัดระบบดูแลทดแทนและผู้ดูแลทดแทนบางช่วงเวลาเสริมการเลี้ยงดูครอบครัว เช่น การจัดพื้นที่การเล่น (Play Area) บ้านรับเลี้ยงเด็ก รวมทั้งได้เตรียมศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อฟื้นฟูเด็กหลังการระบาด”
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ยังพบด้วยว่า เด็กมีพัฒนาการล่าช้ามากขึ้น มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจากการได้รับผลกระทบจากภาวะเครียดในครอบครัว รวมทั้งต้องทำงานกับครอบครัวซึ่งมีทั้งความยากจนและภาวะบกพร่องที่รุนแรงขึ้น และการเก็บตกเด็กที่หลุดออกนอกระบบที่พบจำนวนมากขึ้น ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่ทีมชุมชน ครู ผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ในโครงการและให้การฝึกอบรมการดูแลเด็กในภาวะยากลำบากมากกว่า 11 หลักสูตร
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/01/327733346_1140055030007305_7978168737885723189_n-1024x683.jpg)
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม.ได้จัดตั้ง คณะอนุกรรมการพัฒนาศูนย์เด็กก่อนวัยเรียนและการดูแลเด็กปฐมวัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมพลังความร่วมมือจากองค์กรต่าง ๆ โดยมี รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลผลิตการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว เป็นกรรมการด้วย เพื่อเป้าหมายหลัก 2 ประการ ได้แก่
1. พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของ กทม. และการพัฒนาทักษะให้แก่ครูผู้ดูแลเด็กที่ไม่จำกัดเพียงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กทม. 278 ศูนย์ ดูแลเด็ก 18,864 คน อยู่ในพื้นที่ 45 เขตเท่านั้น จากที่ กทม. มีทั้งหมด 50 เขต แต่ต้องมีแนวทางให้การสนับสนุนศูนย์ฯ ในชุมชนที่ไม่ได้รับการจัดตั้งและช่วยเหลือเด็ก กทม.อีก 63,997 คน ที่ยังไม่ทราบว่าอยู่ในการดูแลของสังกัดใด จากการสำรวจของสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2564
2. ติดตามกลุ่มเด็กยากจน เด็กในภาวะยากลำบากต่าง ๆ สนับสนุนการพัฒนากำลังคนและความสามารถของคนในชุมชนที่ต้องทำงานกับเด็กและครอบครัวที่มีภาวะยากลำบาก ให้มีความรู้และทักษะ ในการเฝ้าระวังและให้การดูแล ฟื้นฟู และป้องกันเด็กในภาวะยากลำบาก และจะขยายให้การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ ครอบคลุมเด็กในภาวะยากลำบากทุกคน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/01/418BB99D-E8ED-4A68-8849-5115F07604DB.png)
อย่างไรก็ตาม กทม. มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นข้อจำกัดให้ศูนย์สามารถดูแลเด็ก ๆ ได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพ เช่น
1. การปรับสถานะของศูนย์ให้มีความเป็นอิสระให้สามารถบริหารจัดการตนเองได้มากขึ้น
2. การปรับสถานะครูให้ได้รับการพัฒนาทักษะและได้รับค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม
3. การปรับเงินอุดหนุน ค่าอาหาร ค่านม และค่าอุปกรณ์การเรียนรู้ของเด็กรายบุคคลให้เหมาะสมและเพียงพอ โดยเบื้องต้น กทม. ได้ปรับระเบียบเงินอุดหนุนค่าอาหารและนมของเด็กต่อวันจาก 20 บาท เป็น 32 บาทต่อคนต่อวัน ค่าอุปกรณ์การเรียนการสอน/เสริมทักษะ จาก 100 บาท เป็น 600 บาทต่อคนต่อปี เรียบร้อยแล้ว
4. การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายพัฒนาชุมชน สำนักงานเขต ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการช่วยเหลือสงเคราะห์มากกว่าด้านการจัดการเรียนรู้ ต้องเป็นจุดเชื่อมโยง อสม. อพม. โรงเรียนอนุบาล ให้เป็นทีมบูรณาการในพื้นที่เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็กปฐมวัย
“ภายใน ปี 2566 กทม. มีแผนทดลองนำร่องการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนผ่านกลไก Sandbox อย่างน้อย 30 แห่ง ร่วมกับองค์กรภาคี ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), กองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.), รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป, สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล, มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก และมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม เพื่อสร้างต้นแบบการพัฒนาคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกมิติ ตั้งแต่อายุ 2 ถึง 8 ปี ให้มีความพร้อมเพื่อพัฒนาสุขภาพ ศักยภาพการเรียนรู้ และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของเด็ก ๆ ให้เติบโตไปด้วยกันทั้งเด็กปกติและเด็กที่อยู่ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ทั้งในภาวะปกติ และภาวะวิกฤติต่าง ๆ ของสังคม”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/01/327636953_846081259801251_2718586949267331002_n-1024x683.jpg)
ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการวิจัย “การเฝ้าระวังภาวะประสบการณ์ชีวิตไม่พึงประสงค์ของเด็กปฐมวัยและการแทรกแซงเพื่อฟื้นฟูสุขภาวะเด็กและครอบครัวในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจจากโรคระบาด COVID-19 และหลังวิกฤต” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในส่งเสริมและสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมของ วช. ที่สามารถสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมมาใช้แก้ไขปัญหาในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ได้
“จากผลการศึกษาพบปัญหาความจริงที่สังคมต้องยอมรับว่า คำว่า ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยังเป็นคำสวยหรูที่ห่างไกลความจริง การศึกษานี้พบความสัมพันธ์ของความยากจน ภาวะครอบครัวบกพร่อง การเลี้ยงดูไม่เหมาะสม และการตกหล่นออกนอกระบบการศึกษาปฐมวัย เด็กปฐมวัยในพื้นที่ชุมชนแออัดยังอยู่ในความยากจน อยู่ในครอบครัวที่มีความบกพร่อง ได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม และหลุดออกนอกระบบสวสดิการของภาครัฐ เมื่อเกิดภาวะวิกฤตในสังคม ครอบครัวของเด็กเหล่านี้จะได้รับผลกระทบให้ยากจนมากขึ้น ครอบครัวมีภาวะเครียดทำหน้าที่บกพร่องมากขึ้น”
ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบาย ชุมชน ท้องถิ่นต่าง ๆ ต้องนำผลการศึกษาไปขยายผลต่อ พัฒนาระบบการเฝ้าระวังและชี้เป้าเด็กในครอบครัวยากจนรุนแรง และมีภาวะครอบครัวภาวะบกพร่องร่วมด้วย พัฒนากระบวนการป้องกัน ช่วยเหลือ ฟื้นฟูทั้งการพัฒนาระบบข้อมูล กำลังคน นโยบาย และงบประมาณ ร่วมกับนักวิชาการ มหาวิทยาลัยกับท้องถิ่นต้องทำงานคู่กัน ให้เกิดนโยบาย แนวทางการปฏิบัติบนฐานความรู้เชิงประจักษ์ เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ สังคมสงบสุข โดยสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมสนับสนุนงานวิจัยที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ กลุ่มเปราะบางและปัญหาวิกฤตทางสังคมต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนต่อไป
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/01/327316054_2752999521496656_8443561761974724376_n-1024x683.jpg)
ขณะที่ รศ.ดร.ภก.สมภพ ประธานธุรารักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพและบริการวิชาการมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล มีพันธสัญญาต่อชุมชนในการ “การยกระดับ” ทางวิชาการเพื่อทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม สร้าง
องค์ความรู้ การสร้างความสามารถของคนที่จะร่วมกันเป็นพลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ และผลักดันแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิด “ความครอบคลุมทางสังคม – Social Inclusiveness” โดย กทม.เป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของปัญหาที่มากขึ้นกว่าพื้นที่เขตเมืองปกติ เป็นพื้นที่ให้นักวิชาการมองว่า การนำองค์ความรู้ จากงานวิจัยมาทำให้เกิดประโยชน์จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวม