อุ่นเครื่องก่อนศึกเลือกตั้ง 66 ชวนพรรคการเมืองแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอแก้เหลื่อมล้ำการศึกษาไทย กสศ. เผย หลังโควิด-19 เด็กยากจนเพิ่มกว่า 3 แสนคน รายได้ครอบครัวยากจนลดลง
โหมโรง ก่อนเลือกตั้ง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. จัดทัพชวนพรรคการเมืองแลกเปลี่ยนมุมมองนโยบายทางการศึกษา เมื่อไทยเจอศึกหนักทั้งความยากจน เด็กหลุดระบบการศึกษา และภาวะการเรียนรู้ที่ถดถอย หลังโควิด-19 แม้สถานการณ์ของโรคระบาดจะคลี่คลาย แต่สิ่งที่ยังเรื้อรังและเป็นปมปัญหาที่หากไม่สางจะส่งผลเสียต่ออนาคตของชาติ คือ ปมปัญหาการศึกษาไทย ที่ส่อแววเหลื่อมล้ำไม่จบสิ้น เด็กยากจนดูจะมีหนทางการสร้างโอกาสในชีวิตลดน้อยลงเรื่อย ๆ The Active ประมวลบางช่วงของ เวทีเสวนา จุดเปลี่ยนอนาคตการศึกษาไทย เพื่อเป็นข้อมูลที่เตรียมพร้อมรับมือก่อนเจอนโยบายการศึกษา ของแต่ละพรรคการเมือง
แนะปรับงบฯ อุดหนุนเพิ่มทุกระดับชั้น ก่อนกระทบเศรษฐกิจภาพรวม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/b-bb15-1-1024x683.jpg)
ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. ระบุว่า จากการสำรวจเด็กยากจนในประเทศไทย ภาคการศึกษาที่ 1 ของปี 2565 มีเด็กอายุ 3-14 ปี ราว 9 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ระดับที่ต่ำกว่าเส้นความยากจน 5 ล้านคน แต่มีเด็กที่ได้รับทุนอุดหนุนความยากจนพิเศษ จาก กสศ. ประมาณ 1.3 ล้านคน และ ราว 1.8 ล้านคนเป็น นักเรียนยากจนที่ได้รับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานจาก สพฐ. อย่างไรก็ตาม มีเด็กส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับการอุดหนุนอีก 2.5 ล้านคน
ขณะที่ตัวเลขรายได้เด็กยากจนจากข้อมูลคัดกรอง กสศ. ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยังพบว่า รายได้เฉลี่ยของครอบครัวยากจนลดลง จาก 1,289 บาท ในปี 2561 เหลือ 1,044 บาท ในปี 2565 สวนทาง สถานการณ์เด็กยากจนพิเศษเพิ่มขึ้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนคน ไปแตะที่ 1,307,152 คน ในปี 2565
“2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์เด็กยากจนพิเศษเพิ่มกว่า 3 แสนคน แตะที่ 1.3 ล้านคนในปี 2565… ขณะที่งานวิจัย ระบุ เด็กหลุดระบบการศึกษา 5 แสนคน มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ร้อยละ 1.7 ต่อ GDP
เห็นควรปรับเงินอุดหนุนเด็กยากจนเพิ่มทั้งในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา”
ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ.
นักเศรษฐศาสตร์ จึงมีความกังวลว่า หากไทยยังไม่ปรับงบเงินอุดหนุนเด็กยากจนมากขึ้นอาจมีผลกระทบในทางเศรษฐกิจ โดยใน ปี 2015 มีงานวิจัยคำนวณ ว่า จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบ 5 แสนคน มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ร้อยละ 1.7 ต่อ GDP หรือประมาณ 6,520 ล้านเหรียญ และหากสามารถทำให้เด็กไม่หลุดจากระบบการศึกษาเลย ก็จะทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3 ทุกปี ในช่วงโควิด-19 เราเจอปัญหาการเรียนรู้ถดถอย ณ ตอนนี้ยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนสำหรับผลในทางเศรษฐกิจ แต่น่าจะพอคาดเดาได้ว่า เด็กหลุดจากระบบการศึกษาน่าจะเยอะขึ้น และมีผลในทางเศรษฐกิจเช่นกันหากไม่สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที โดยมีข้อเสนอเห็นควร ปรับงบเงินอุดหนุนเด็กยากจนเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มจาก 1,000 บาท เป็น 1,190 บาท ในระดับชั้นประถมศึกษา ขณะที่ระดับมัธยมต้นเพิ่มเป็น 3,570 บาท
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/b-bb74-1024x683.jpg)
สอดคล้องกับ ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. ระบุว่า การช่วยเหลือเด็กยากจนในมิติการศึกษา จำเป็นต้องช่วยทั้งระบบ บูรณาการส่งต่อข้อมูลตั้งแต่ระดับอนุบาล-มหาวิทยาลัย 20 ปี เชื่อมโยงสังกัดทางการศึกษาต่าง ๆ และให้รัฐบาลสร้างแรงจูงใจภาคเอกชนในการบริจาค เพื่อมาช่วยเหลือประชาชน และเพิ่มมาตรการบัตรสวัสดิการดูแลผู้ปกครอง
โดยวางเป้าหมาย เพิ่มอัตราการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า ของนักเรียนยากจน /ยากจนพิเศษให้สูงกว่าร้อยละ 20 ภายใน 5 ปี และเยาวชนจากครัวเรือนยากจน /ยากจนพิเศษ ก้าวออกจากกับดักความยากจนข้ามรุ่น เข้าสู่ฐานภาษี และรายได้เฉลี่ยถึงระดับรายได้สูงภายใน 10 ปี ย้ำความยั่งยืนของประเทศ คือ อนาคตเด็กกลุ่มนี้ คาดว่า มกราคมนี้จะนำเสนองบประมาณจัดสรรเพื่อเด็กเยาวชนต่อไป ซึ่งยังจำเป็นต้องจับตาว่ารัฐบาลจะตัดสินใจและให้ความสำคัญกับการศึกษาไทยอย่างไร
4 พรรค ชูนโยบายแก้เหลื่อมล้ำการศึกษา ไม่จำกัดแค่การศึกษาในระบบ หนุนเด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/b-bb39-1024x683.jpg)
ศ.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าทีมการศึกษาทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ เสนอ 4 ประเด็นสำคัญ คือ
- เริ่มต้นที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก หากพบพื้นที่ไหนที่มีปัญหา ต้องส่งเสริม และ สนับสนุนเป็นพิเศษทั้งเรื่องงบประมาณ อัตราบุคลากร หรือการสนับสนุนเรื่องโภชนาการ
- สุขภาพของคน ต้องมาเป็นอันดับแรก อยากให้ กสศ.ทำมูล ของเรื่องสุขภาพ ของเด็กเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะกว่าจะรอให้ถึง 6 ขวบก็อาจจะช้าไป อัตราความสูงเฉลี่ยของประเทศไทยหากเทียบกับญี่ปุ่น ถือว่าเตี้ยมากตรงนี้ถ้าหากเพิ่มข้อมูลเข้าไปได้ ก็จะต่อยอดก็เพิ่มขึ้นได้
- ปัจจุบันอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยประเด็นคือว่าทำไมเด็กที่จบ ม.6 จากข้อมูลระบุว่ารายได้น้อยทำงานไม่ได้ และทั้งที่ประเทศไทยต้องการสายอาชีพมหาศาล แต่คนมุ่งเป้าแรงงานไปที่มหาวิทยาลัยมาก่อน
- “ยิ่งเรียน ยิ่งหาย” จากสถิติ เด็กยากจนในช่วงประถม 150,000 คน มาถึงมัธยมปลายเพียง 40,000 คน เข้ามหาวิทยาลัยได้ 20,000 คน หายไปตลอดเส้นทางการเรียน ทั้งนี้ต้องแก้ปัญหาแบบ “มุ่งเป้า” ไม่ฉาบฉวย นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้ ยังเสียพลัง เสียงบประมาณแบบไม่คุ้มค่า
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/b-bb208-1024x683.jpg)
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาการศึกษาในประเทศไทย มักจะมีบรรยากาศในการพูดที่จำกัด ทำให้การศึกษาไทยไม่เคยคิดใหญ่ เรามีเด็กที่อยู่ในครัวเรือนที่ต่ำกว่าเส้นความยากจน 2.5 ล้านคน กสศ. ช่วย ได้ 1.3 ล้านคน เหลือเด็กที่ยังเข้าไม่ถึงการช่วยเหลืออีก 1.2 ล้านคน
หากจะช่วย เด็ก 1.2 ล้านคนนี้ แพงหรือไม่ หากไม่คิดไปถึงเรื่องของการเพิ่มงบประมาณ หรือเงินเฟ้อ กสศ. จะต้องใช้งบประมาณอีกเท่าไร เอา 3,000 บาท x 1.2 ล้านคน เท่ากับว่าต้องการเงินอีก 3,600 ล้านบาท หากเอาเรื่องของอัตราเงินเฟ้อมาคิด แบบหยาบ ๆ ก็ 4,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเท่านี้ไม่แพง เมื่อเทียบกับอัตรากรที่หากไม่มีเด็กตกหล่น ค่า GDP จะไปได้ 3 % ตลอดศตวรรษ คิดเป็นเงิน 500,000 ล้านบาท หากเราลงทุนอีก 4,000 ล้านบาทต่อปี จะได้ผลเป็นหลักแสนล้าน
อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่การไม่กล้าจัดสรรงบประมาณ ดึงดันหรือลงทุนในเรื่องการศึกษามากพอ ดังนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ที่วิธีคิด แต่เป็นเรื่องของการจัดสรรงบประมาณ ถ้าในหลักเศรษฐศาสตร์หากทรัพยากรที่ใส่ลงไปไม่เพียงพอประสิทธิผลจะไม่เกิด เชื่อว่าถ้าเด็กมีการศึกษาที่ดีขึ้น อนาคตของเด็กก็จะดีขึ้นซึ่งส่งผลให้รายได้ของประเทศมากขึ้น
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/b-bb192-1024x683.jpg)
ณหทัย ทิวไผ่งาม ประธานคณะที่ปรึกษาด้านส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
คำว่าโรงเรียนคุณภาพเกิดขึ้นได้ ทั้ง 30,000 แห่ง เพราะว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่โลกของอนาล็อก แต่เป็นโลกดิจิทัล ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมความเหลื่อมล้ำได้ แต่อยู่ที่ว่าวิธีการและยุทธศาสตร์ว่าจะทำอย่างไร ถ้าหากจะทำให้ได้จะต้องมีเครื่องมือ เครือข่าย และอย่าบังคับว่าการศึกษาจะต้องเอาคนเข้าไปอยู่ในระบบเท่านั้น การศึกษาคือการเรียนรู้แล้วจะทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นเขาได้เรียนรู้เพื่อที่จะยกระดับความสามารถของตนเอง
ช่วงหลังโควิดทำให้เห็นว่าอาชีพหลายอย่างตายไปแล้วอาชีพหลายอย่าง ต้องอาศัยความรู้ที่มากขึ้น ความรู้เดิมใช้ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นความรู้จึงไม่ได้อยู่เพียงแค่ในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ฉะนั้นเครื่องมือเครือข่ายและเทคโนโลยีต้องเข้าถึงประชาชนทั้งหมด รัฐบาลทำได้ถ้าหากจัดการเรื่องการบริหารเงินให้เป็น
จึงมีการคิดนวัตกรรมที่เรียกว่า Learn to Earn เรียนแล้วดี ดีแล้วจะมีรายได้ ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ทลายกรอบระเบียบโดยเฉพาะกระทรวงศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีกฎระเบียบมากมาย ส่งผลให้คนหาทางออกอื่น ๆ ที่หลุดระบบออกไป
ณหทัย กล่าวว่า หากรัฐบาลใช้ข้อมูลสารสนเทศจะเห็นว่าใครหลุดระบบและเห็นว่าเด็กอยู่ส่วนไหนบ้าง แล้วรัฐบาลต้องทำงานเชิงรุก ด้วยการใช้เครื่องมือ ร่วมกับเครือข่ายที่เป็น Internet ความเร็วสูงทำให้คนได้อัพสกิล รีสกิล และหลีกเลี่ยงเรื่องของไมโครเครดิต อย่าระบุว่าหากจะเรียนต้องมีหน่วยกิตเท่าไรกว่าจะ สะสมครบและได้ทำงาน ฉะนั้นกฎระเบียบอะไรที่ค้ำคอแล้วทำให้คนเข้าถึงการเรียนรู้ไม่ได้ คิดว่าจะต้องปรับและเดินเชิงรุกและทำให้เร็วที่สุด ทุกคนต้องได้เรียนและเรียนแล้วต้องสามารถสร้างรายได้เลยทันที
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/b-bb206-1024x683.jpg)
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ในช่วงโควิดเราจะเห็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำเยอะมาก อย่างกรณีของมือถือซึ่งได้มีการขอรับบริจาคเพื่อเอาไปแบ่งปันให้กับกลุ่มครอบครัวที่ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือนี้ได้ หากจะต้องมีการเสนอนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษาไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแค่การนำเสนอ อะไรที่เป็นตัวหนังสือไม่กี่บรรทัดแต่จะทำอย่างไรให้ถึงจุดที่เรียกว่าปฏิวัติการศึกษา ถึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
อย่างแรกต้องคำนึงถึง เป้าหมายการศึกษา หากดู พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งยังอยู่ในชั้นของกรรมาธิการ ณ ตอนนี้ ซึ่งจะเห็นว่าไม่มีการบัญญัติไว้ว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร เรียนไปแล้วมีงานทำหรือไม่ ตอบโจทย์ตลาดแรงงานหรือไม่ การเรียนเราควรมีเป้าหมายรู้ตัวตนตัวเองให้เร็วที่สุด เราจะสามารถดึงศักยภาพออกมาได้มากสุด ครอบครัวและสังคมก็จะสามารถสนับสนุนผู้เรียนได้เต็มที่ตามศักยภาพ
สอง เป้าหมายการศึกษาต้องทำให้คนสามารถหาความรู้โดยวิทยาศาสตร์ด้วยตัวเองได้ แต่ทุกวันนี้ความรู้ไม่ได้อยู่เพียงแค่ในห้องเรียน ความรู้อยู่บนอินเตอร์เน็ต ความรู้เกิดจากการที่ได้เจอผู้คนมากมาย
หากเราสามารถทำให้เด็กหาความรู้ให้ตัวเองแบบวิทยาศาสตร์ได้ จะเป็นการศึกษาที่เรียกว่าตลอดชีวิตจริง ๆ
สามทำให้เด็กสามารถปรับตัวเอง ให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าเด็กมีทักษะตรงนี้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ตลาดแรงงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร เขาก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองได้ อัพสกิล รีสกิลตัวเองได้ เด็กจะสามารถเป็นบุคลากรที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้
นอกจากนี้ ต้องคำนึงเรื่องระยะเวลาการศึกษา ณ ปัจจุบันว่าเหมาะสมหรือไม่ จะเห็นว่าประเทศไทยมีระยะเวลาการเรียนที่นานแต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ต่ำมากถ้าเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้นต้องปฏิวัติวิธีการศึกษา เรื่องหลักสูตรที่ไม่ทันสมัย วิธีการเรียนการสอน ที่ไม่ใช่เพียงแค่สอนเพื่อท่องจำ แต่จะต้องให้เด็กวิเคราะห์เป็น สามารถที่จะคิดได้ด้วยตัวเอง
“การปฏิวัติการเข้าถึงการศึกษา อยากให้เด็กเรียนฟรีจนจบปริญญาตรีได้ ไม่ใช่เพียงแค่ค่าเล่าเรียน แต่ต้องฟรีทุกอย่าง ที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาบนแผ่นดินไทยจะต้องมีโอกาสและมีสิทธิ์ที่จะเรียนฟรีจนถึงปริญญาตรี”