อว. เดินหน้าแก้ปัญหาเด็กหลุดระบบ พัฒนากำลังคน

กระทรวง อว. จับมือ กสศ. เดินหน้านโยบายพัฒนาระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา 20 ปีไร้รอยต่อหลุดนอกระบบ พร้อมผนึกกำลัง มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง ตั้งเป้าพัฒนากำลังคนตอบโจทย์ภาคการผลิต

วันนี้ (4 ต.ค. 2565) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กศส.) เปิดข้อมูล ประเทศไทยมีเด็กช้างเผือก หรือ เด็กจากครัวเรือนยากจนที่สุดได้เรียนมหาวิทยาลัยเพียงร้อยละ 14 จาก 100 คน อาจเป็นจำนวนไม่มาก แต่ถ้าเทียบกับ TCAS ปีการศึกษา 2564 ที่พบว่านักเรียนกลุ่มนี้ได้เรียนมหาวิทยาลัยร้อยละ 12 จาก 100 คน จะเห็นความก้าวหน้าของระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาที่ กสศ. ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ทปอ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ทปอ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการสนับสนุนช่วยเหลือเด็กให้มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อเนื่องในระดับอุดมศึกษา 

ขณะที่ กสศ. ร่วมกับกระทรวง อว. ส่งต่อข้อมูลของนักศึกษากลุ่มดังกล่าวไปยังสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่นักศึกษาสังกัดอยู่ เพื่อให้สถาบันการศึกษาได้พิจารณาทุนการศึกษาหรือให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ เพื่อร่วมกันสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาทั้งระบบ ทั้งหมดเป็นมากกว่าการให้ทุนการศึกษาแต่ยังเป็นการส่งต่อข้อมูลทุกมิติอย่างเต็มที่ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กเยาวชนที่แคลนทุนทรัพย์ด้อยโอกาส จะดูแลเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับอุดมศึกษา

ศาสตราจารย์พิเศษ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า ได้มีการปฏิรูปการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ สำหรับกลุ่มนักเรียนยากจน ยากจนพิเศษ ที่เข้าเรียนเป็นนิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในสถาบันอุดมศึกษาในปีนี้ที่มีจำนวน 20,018 คน กระจายอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 75 แห่งของ อว. จะได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ ซึ่งตนได้ให้นโยบายแก่สถาบันอุดมศึกษาที่รับนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้เข้าเรียนว่าจะต้องมีมาตรการต่าง ๆ ในการดูแล อาทิ การสนับสนุนทุนการศึกษา สนับสนุนการทำงาน Part-time ในสถาบันอุดมศึกษา ดูแลการเรียนด้วยการจัดติวพิเศษให้สามารถเรียนเท่าทันนิสิตนักศึกษาอื่น ๆ การดูแลในการปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อช่วยให้นิสิตนักศึกษาจบการศึกษาและประสบความสำเร็จในอนาคต ตลอดจนการติดตาม Survey ข้อมูลหลังนิสิตนักศึกษาเรียนจบ ติดตามสถานะการมีงานทำ รายได้ เพื่อจะนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายและแนวทางสนับสนุนต่อไปในอนาคต

“การจัดการความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา ต้องทำคู่ไปกับการเลื่อนชั้นทางสังคม (Social mobility) คือ ทำให้คนลำบากยากไร้ไม่เพียงแต่เขยิบมาเท่ากับคนปกติแต่ต้องทำให้ดีกว่าคนปกติ ไม่มองว่าพวกเขาเป็นคนป่วยหรือมีปัญหา แต่ต้องมองว่าเป็นช้างเผือกในป่า เป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าของประเทศ เสมือนเพชรพลอยที่ยังไม่ได้รับการเจียรนัย ถ้าเราดูแลให้ดี เอามาฝึกปรือ ปลุกเร้าให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ก็จะกลายเป็นคนเก่ง คนดี ที่จะมาเติมพลังให้บ้านเมือง อย่าให้กลัวความจน เพราะความจนจะเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ คนเก่งมาจากความยากไร้มีมากมาย ที่สำคัญต้องให้พวกเขาตระหนักว่าสังคมให้โอกาสและดูแลเอาใจใส่ เมื่อประสบความสำเร็จจะต้องกลับมาตอบแทนสังคมเพื่อคนรุ่นต่อไป” ศาสตราจารย์พิเศษ เอนก กล่าว

ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า หลังจาก กสศ. ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาหลักประกันโอกาสทางการศึกษาสำหรับผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ระดับอุดมศึกษากับกระทรวง อว. ล่าสุดได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนที่เคยได้รับทุนเสมอภาคจาก กสศ. และทุนอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เมื่อปี 2561

ซึ่งปัจจุบันได้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว พบว่ามีนักเรียนสอบติดและได้ยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20,018 คน กระจายอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 75 แห่ง ซึ่งถือว่านักเรียนกลุ่มนี้เป็นเด็กช้างเผือก (Resilient Students) ที่แม้จะมาจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่าเส้นความยากจนของประเทศ แต่ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรรคจนสามารถสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสอบติดมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ

“ปี 2561 เป็นปีแรกที่ กสศ. เริ่มดำเนินงาน และได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ในการสำรวจและคัดกรองสถานะความยากจนของนักเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ อนุบาลถึงระดับ ม.ต้น โดยมีคุณครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศช่วยลงพื้นที่สำรวจและบันทึกข้อมูลนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษให้กับ กสศ. สพฐ. ซึ่งในปีการศึกษา 2561 มีนักเรียนชั้น ม.3 ได้รับทุนเสมอภาคจาก กสศ. และทุนอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานฯ จาก สพฐ. รวม 148,021 คน โดยปีการศึกษา 2564 พบว่านักเรียนกลุ่มนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 ในโรงเรียน สพฐ. 62,042 คน โดย กสศ. ได้เชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนที่เข้าศึกษาต่อผ่านระบบ TCAS ปีการศึกษา 2565 ร่วมกับ ทปอ. พบว่ามีนักเรียนยืนยันสิทธิ์ศึกษาต่อ 20,018 คน ประกอบด้วยนักเรียนยากจนราวร้อยละ 14 และยากจนพิเศษร้อยละ 12 ของจำนวนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่อยู่ในระบบการศึกษาชั้น ม.3 เมื่อปีการศึกษา 2561 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจาก TCAS ปี 64 อยู่ราวร้อยละ 1-2” 

ทั้งนี้ มีผลวิจัยชี้ว่า เด็กช้างเผือก (Resilient Students) จากครัวเรือนยากจนที่สุดของประเทศ แม้มีพรสวรรค์มากเพียงใดแต่หากขาดโอกาสทางการศึกษาที่เสมอภาคและระบบนิเวศส่งเสริมการพัฒนาพรสวรรค์ในระยะยาวก็จะไม่สามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ ประเทศจะสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพหรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ The Lost Einsteins สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากยูเนสโกปี 2558 ระบุว่าเยาวชนจากครอบครัวที่ฐานะยากจนที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศมีเพียงร้อยละ 8 เท่านั้นที่สามารถศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้ ต่ำกว่าเด็กที่มาจากครัวเรือนร่ำรวยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศกว่า 6 เท่า ดังนั้นการสร้างระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนกลุ่มนี้ได้รับการศึกษาในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะส่งผลถึงรายได้จากการประกอบอาชีพหลังสำเร็จการศึกษาและส่งผลถึงโอกาสหลุดออกจากกับดักความยากจนข้ามชั่วรุ่นของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยซึ่งมีระดับการศึกษาสูงสุดเฉลี่ยเพียงชั้นประถมศึกษาหรือเทียบเท่า ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่13 (2566-2570)

อว. ผนึกกำลัง มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง ตั้งเป้าพัฒนากำลังคนตอบโจทย์ภาคการผลิต

นอกจากนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ยังผนึกกำลัง กับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38  แห่ง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือการดำเนินการว่าด้วยการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวง เพื่อร่วมกันบูรณาการพัฒนาทักษะอนาคตที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมขอนักศึกษา วางแผนและพัฒนางานด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชาการ

ซึ่งในโครงการนี้จะมีการจัดทำหลักสูตรในระยะสั้น ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง เพื่อกระจายวิทยากรให้กับพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด และแนวทางในการพัฒนาครั้งนี้เราจะสร้างพลังขับเคลื่อนอย่างเข้มแข็งตามนโยบายของกระทรวง อว. คาดว่า การลงนามครั้งนี้จะทำให้เกิดผลโดยประจักษ์และสามารถพัฒนาสมรรถนะของคนในภาคมหาวิทยาลัย พัฒนาสมรรถนะของคนในภาคการเกษตรรวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับสมรรถนะกำลังคน ให้เป็นทุนทางปัญญาของท้องถิ่นในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active