ปลดล็อก! คำสั่ง คสช. คืน ‘สภาที่ปรึกษาฯ’ หวังกรุยทาง สู่ ‘สันติภาพ’ ชายแดนใต้

สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเอกฉันท์ ปลดล็อกคำสั่ง คสช.14/2559 ‘จาตุรนต์’ เผยคำสั่ง สร้างเงื่อนไข ปล่อยทหาร ฝ่ายความมั่นคง เป็นแกนหลักจัดการพื้นที่มานาน หวังสภาที่ปรึกษาฯ ใหม่ สร้างกลไกการมีส่วนร่วมประชาชน

วันนี้ (10ก.ค. 67) สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติในการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. …. ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระ 2 และวาระ 3 มีผลการลงมตทั้งฉบับเป็นเอกฉันท์

คือมีผู้ลงมติ 407 เสียง, เห็นด้วย 406 เสียง, ไม่เห็นด้วย 0 เสียง, งดออกเสียง 0 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง โดยร่าง พ.ร.บ. นี้จะมีผลให้สภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการแต่งตั้งตามคำสั่ง คสช. ฉบับนี้สิ้นสุดลง และทำให้กฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถูกงดบังคับใช้โดยคำสั่งดังกล่าวกลับมามีผลใช้บังคับเช่นเดิม

จาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ บอกว่า กรรมาธิการฯ ได้ศึกษาทั้งความเป็นมาและผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากมาให้ข้อมูล พบว่า คำสั่ง คสช.14/2559 มีสาระสำคัญ 3 ส่วน ที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการแก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ได้แก่

  • ส่วนที่ 1 คำสั่งนี้ให้มีคณะกรรมการที่ปรึกษาที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ขณะเดียวกันได้ระงับบทบาทและการใช้อำนาจหน้าที่ของสภาที่ปรึกษา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับประชาชน ทำให้ประชาชนไม่มีช่องทางในการที่จะเชื่อมโยงกับการทำงานของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้อย่างที่เคย

  • ส่วนที่ 2 คำสั่งนี้ทำให้เกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่าง ศอ.บต. กับ กอ.รมน. พูดง่าย ๆ คือให้ ศอ.บต. ต้องขึ้นต่อ กอ.รมน. ถ้า ศอ.บต.จะดำเนินการสิ่งใด จะต้องรับฟังคำสั่งของผู้อำนวยการ กอ.รมน. ซึ่งก็คือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่สามารถชี้ขาดการบริหารจัดการและปฏิบัติหน้าที่ได้

  • ส่วนที่ 3 คำสั่งนี้กำหนดบทบาทของ กอ.รมน มาทำหน้าที่และจัดสรรงบประมาณในการป้องกันภัยแทนฝ่ายพลเรือน

“การยกเลิกคำสั่ง คสช.14/2559 ที่จะนำสภาที่ปรึกษากลับมาก็ดี หรือทำให้เกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่าง ศอ.บต.กับ กอ.รมน.เสียใหม่ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมบทบาทของ ศอ.บต. ให้มากขึ้น และให้มีความเชื่อมโยงกับประชาชน นอกจากนั้นสภาที่ปรึกษาฯ ที่มีขึ้นใหม่ควรมีองค์ประกอบที่เหมาะสม ที่จะทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมได้จริง สภาที่ปรึกษาฯ ใหม่นี้ควรมีบทบาทในการส่งเสริมการหารือสาธารณะที่จะช่วยกระบวนการสร้างสันติภาพสร้างสันติสุขที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ด้วย และทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเสนอการแก้ไขพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน”

จาตุรนต์ ฉายแสง
จาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ

ทั้งนี้ในช่วงการอภิปราย สส. หลายคน ได้ตั้งคำถาม และแสดงความกังวลถึง มาตรา 5/1 ที่คณะกรรมาธิการฯ ได้เขียนเพิ่มเข้ามาซึ่งเป็นการกำหนดเวลาในการแต่งตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ว่าจะทำให้กระบวนการยืดเยื้อยาวนานหรือไม่

“มาตรา 5/1 ให้แต่งตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ กระบวนการคัดเลือก ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำเนินการใหม่ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัด ชายแดนภาคใต้”

ขณะที่ ชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการ ศอ.บต. ในฐานะเลขานุการกรรมาธิการ ชี้แจงมาตราดังกล่าวว่า จากการปฏิบัติที่ผ่านมาในการเลือกสภาที่ปรึกษาฯ ในปี 2554 ตามระเบียบ ศอ.บต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การคัดเลือกกำหนดเวลาตั้งแต่วันแรก จนถึงมีการประกาศรายชื่อ จะใช้เวลาประมาณ 90 วัน ตามที่ระเบียบกำหนด ส่วนอีก 30 วันที่เพิ่มมานั้น มีข้อสังเกตจากกรรมาธิการฯ ว่าควรให้ ศอ.บต.ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการ ได้ปรึกษาหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ที่จะเพิ่มเติมองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ และวิธีการคัดเลือกสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ให้ครอบคลุม และเน้นหลักการการมีส่วนร่วมที่แท้จริง ซึ่งถ้าไม่มีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบอย่างไรก็ดำเนินการภายใน 120 วัน ก็จะได้มาซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ ชุดใหม่

หนุนสมาชิก ‘สภาที่ปรึกษาฯ’ มีส่วนร่วมคณะพูดคุยสันติสุข

ทั้งนี้สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาข้อสังเกตเพิ่มเติมซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์เช่นกัน โดยข้อสังเกตดังกล่าว จะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย

  1. นายกรัฐมนตรีควรสนับสนุนให้ ศอ.บต. จัดโครงสร้างองค์กร มอบหมายผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานของประชาชน และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการทำงานของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยต้องคำนึงถึงความคล่องตัว ความเป็นอิสระทางความคิดและประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนสูงสุด และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการข้างต้นอย่างเพียงพอและเหมาะสม

  2. ศอ.บต. ควรพิจารณาเสนอชื่อสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 มาตรา 19 (9) โดยให้พิจารณาว่ายังขาดตัวแทนจากภาคส่วนใดทั้งที่กำหนดไว้ในมาตรา 19 (1) – (8) และมิได้กำหนดไว้ ก็ให้พิจารณาแต่งตั้งจากตัวแทนของภาคส่วนที่ขาดนั้นเป็นลำดับแรกก่อน และให้คำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างหญิง ชาย และเยาวชน เพื่อให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบไปด้วยประชาชนทุกภาคส่วน

  3. ศอ.บต. ควรพิจารณาเร่งรัดจัดทำระเบียบที่จำเป็นและสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ. 2553 มาตรา 23 เพื่อให้เป็นมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่คำนึงถึงหลักการบริหารที่มีส่วนร่วมของประชาชน

  4. นายกรัฐมนตรี ควรสนับสนุนให้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กำหนดให้มีผู้แทนจากสภาที่ปรึกษาฯ มีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกระดับ และเป็นกลไกสำคัญในการรับฟังเสียงสะท้อนและปรึกษาหารือสาธารณะ (Public Consultation) จากประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการสร้างสันติภาพ

  5. คณะรัฐมนตรี ควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดน พ.ศ. 2553 ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับทิศทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการปรับปรุง แก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวควรมีสาระสำคัญ ดังนี้
  • ให้มีระบบบริหารราชการที่ให้อำนาจประชาชนต่อการกำหนดและกำกับทิศทางและนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้

  • ให้มีสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนร่วมกับระบบสรรหา (เดิม)

  • ให้สภาที่ปรึกษาฯ มีสัดส่วนที่คำนึงถึงความเท่าเทียมระหว่างเพศ และให้เพิ่มองค์ประกอบจากกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเยาวชน

  • ให้มีมาตราเฉพาะรองรับกระบวนการและผลลัพธ์ของการพูดคุยสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยกลไกและแนวทางการเสริมสร้างสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active