เชื่อน้ำ กทม. รอบนี้ ยังจัดการได้ ไม่ซ้ำรอย ‘มหาอุทกภัย’ ปี 54 แต่ขออย่าประมาท!! ชี้โลกรวน อากาศแปรปรวน เป็นเหตุคาดเดายาก ห่วงฝนเติม น้ำทะเลหนุน กระทบพื้นที่ต่ำ จุดฟันหลอริมเจ้าพระยา เสนอจัดผังเมืองจุดเสี่ยง วางแผนระบบท่อใหม่ พิจารณาสร้างเขื่อนอ่าวตัวกอในอนาคต
ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมที่หลายจังหวัดต้องเผชิญหลังจากมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ทั่วประเทศตลอดช่วงที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้กับประชาชนอย่างมาก แม้ขณะนี้ระดับน้ำเริ่มคลี่คลายไปบ้างแล้วในหลายพื้นที่ แต่ความกังวลของประชาชนยังไม่ลดลงไปด้วย เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน จนอาจลากยาวไปถึงสิ้นปี โดยเฉพาะภาคใต้ นับจากนี้ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
เช่นเดียวกับลุ่มน้ำภาคกลาง ที่เวลานี้น้ำเหนือปริมาณมหาศาลที่ไหลลงพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลาง จึงจำเป็นต้องอาศัยประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำของ เขื่อนเจ้าพระยา เป็นหลัก และอาจเป็นจุดชี้วัดได้เลยว่า ลุ่มเจ้าพระยา จะมีสถานการณ์น่าเป็นห่วงขนาดไหน โดยที่ยังไม่ได้นับรวมปัจจัยจากฝน
สถานการณ์นับจากนี้ยังมีอะไรน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะพื้นที่เมืองอย่าง กรุงเทพมหานคร จะต้องเฝ้าระวังแค่ไหน The Active ชวนวิเคราะห์ไปกับ พิจิตต รัตตกุล ประธานเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย (TNDR)
กรุงเทพฯ ไม่ซ้ำรอย ‘มหาอุทกภัย’ ?
พิจิตต ย้ำว่า สถานการณ์น้ำในกรุงเทพมหานครขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากการบริหารจัดการน้ำในเจ้าพระยา มีหน่วยงานราชการที่คอยประสานงาน พร้อมบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.), สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.), และ กรมชลประทาน ซึ่งได้วางแผนโดยตั้งเป้าหมายให้ สถานีวัดน้ำบางไทร ต้องระบายน้ำไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที
ประกอบกับ ปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสัก ที่เดิมทีจะมีการรวมกันกับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร มีปริมาณน้อยมากซึ่ง ไม่ถึง 60% ของความจุเขื่อน จึงทำให้การเติมน้ำจากเขื่อนป่าสักมาถึงเขื่อนเจ้าพระยามีไม่มากนัก
พร้อมทั้ง รอบบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา อย่างพื้นที่ใน สิงห์บุรี, อ่างทอง, อุทัยธานี มีทุ่งดูดซับน้ำประมาณ 12 – 14 ทุ่ง ซึ่งเริ่มดูดน้ำที่ปล่อยจากเขื่อนเจ้าพระยาเข้าทุ่งแล้ว จึงคาดว่าน้ำที่จะมาถึงกรุงเทพมหานครตั้งแต่ใต้เขื่อนลงมา ก็อาจจะไม่ถึง 2,000 ลบ.ม./วินาที
อย่างไรก็ตาม ประธาน TNDR ย้ำให้ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไป เพราะไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะมีพายุเข้ามาอีกหรือไม่ เนื่องจากเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนทั่วพื้นที่ โดยจากการคาดการณ์เบื้องต้น อาจเกิดได้ 2 กรณี ดังนี้
- หากมีฝนตกบริเวณเหนือเขื่อน สามารถใช้เขื่อนในการควบคุมการระบายน้ำได้
- หากมีฝนตกบริเวณหลังเขื่อน บริเวณดังกล่าวจะต้องรับกับมวลน้ำโดยตรง
อย่าประมาท!! ส่องความเสี่ยง กรุงเทพฯ รับมือน้ำ
ลักษณะของฝนตกที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คืออีกปัจจัยที่ ประธาน TNDR ยอมรับว่า ทำให้สถานการณ์ฝนตกหนักเวลานี้น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Rain Bomb คือคำตอบของคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะฝนที่ตกในลักษณะก้อนใหญ่เพียง 10 นาที ก็สามารถทำให้น้ำฝนมีปริมาณสูงในทันที
แม้ในเวลาต่อมาฝนจะเบาลงแล้วก็ตาม จึงทำให้น้ำที่ท่วมขังอยู่ระบายไม่ทัน ซึ่งโดยปกติจะสามารถระบายน้ำออกได้ภายใน 3 ชั่วโมง แต่ขณะนี้จะต้องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง
นอกจากนี้ด้วยลักษณะของพื้นที่กรุงเทพฯ ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จึงต้องเฝ้าระวังภาวะ น้ำทะเลหนุน ด้วยเพราะจะทำให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงตาม แม้จะมีเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่กว่า 700 เครื่อง และระบบคันกั้นน้ำเป็นระยะทางกว่า 77 กิโลเมตร ที่ช่วยไม่ให้น้ำเอ่อล้นจากการระบายน้ำไม่เกิน 3,000 ลบ.ม./วินาที แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูง ทำให้สูบน้ำไม่ออก หมายความว่า น้ำต้องแช่อยู่นาน อีกทั้งคันกั้นน้ำยังมีฟันหลออยู่ 32 แห่ง เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร จึงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้น้ำเอ่อล้นได้
พิจิตต จึงมองว่า การรับมือกับน้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างการสร้าง แก้มลิง เพิ่ม 30 กว่าแห่ง หรือการสร้าง ธนาคารน้ำ (Water Bank) อีก 7-8 แห่ง จึงอาจยังไม่เพียงพอกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน อย่างเช่น Rain bomb ซึ่งจะเห็นว่ามี Rain bomb บ่อยขึ้น เนื่องจากโลกเข้าสู่ภาวะโลกเดือดมากยิ่งขึ้น รวมถึงฝนตกหนักจนทำให้ปริมาณน้ำเหนือเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
อนาคตที่ดีที่สุดของการบริหารจัดการน้ำ กรุงเทพฯ
ข้อเสนอสำคัญที่ ประธาน TNDR เชื่อว่าอาจต้องพิจารณาในอนาคต คือ การทำเขื่อนปิดล้อมตรงอ่าวตัวกอ ปากอ่าวไทย ตั้งแต่เพชรบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร ไปจนถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับฮอลแลนด์ที่เมืองอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่มีคันกั้นน้ำตรงใต้ของเมือง โดยทำหน้าที่เหมือนเป็นแก้มลิงขนาดยักษ์ สามารถรอเพื่อสูบน้ำออกไปยังทะเล และจะเป็นการกั้นให้พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนมากนัก
สำหรับประเทศไทย ลักษณะนี้จะเป็นการช่วยเอามวลน้ำในภาคเหนือทั้งหมดถ่ายเททิ้งให้โดย ลุ่มภาคกลาง อย่าง กรุงเทพฯ, นนทบุรี หรือ ปทุมธานี เป็นผู้ควบคุมเพื่อส่งน้ำออกไปสู่ทะเล
นอกจากนี้ ยังมีอีก 4 ข้อเสนอ ของการจัดการน้ำเหนือ ดังนี้
- การจัดการลุ่มน้ำด้านบน โดยการประสานงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การใช้ผังเมืองกำหนดให้พื้นที่เสี่ยงภัยสูง
- การใช้พื้นที่เขตเมืองในการรองรับน้ำให้มากขึ้น
- การมีแผนทำระบบท่อใหม่