ไทยชง FAO ขึ้นทะเบียน “วิถีเลี้ยงควายทะเลน้อย” เป็น “มรดกการเกษตรโลก”

ชู วิถีควายดำน้ำลงไปกินหญ้า มูลควายเป็นอาหารพืชและแพลงตอน “ปลัดกระทรวงเกษตรฯ” ชี้ หากขึ้นทะเบียนสำเร็จ เกษตรกรและชุมชนได้รับประโยชน์ ด้านการท่องเที่ยว การจ้างงานเพิ่มขึ้น และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ 

วันนี้ (8 พ.ค. 2565) ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ยื่นเอกสารขอรับรอง “วิถีการเลี้ยงควายและเกษตรเชิงนิเวศในพื้นที่ทะเลน้อย” เป็น “มรดกทางการเกษตรของโลก” (Globally Important Agricultural Heritage System หรือ GIAHS) จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO โดยพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากจนได้รับการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรือ “Ramsar site” และมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ FAO ในการเป็นมรดกทางการเกษตร ที่เน้นการอนุรักษ์มรดกทางการเกษตรโลก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเศรษฐกิจ ปกป้องและส่งเสริมการใช้ทางชีวภาพให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและยั่งยืนบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย มีวิถีชีวิตที่มีความเชื่อมโยงกับควายน้ำทะเลน้อย โดยสืบทอดการเลี้ยงควายมายาวนานมากว่า 250 ปี 

สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยมีรายได้หลักจากการขายควาย ประกอบกับการทำประมง ปลูกข้าว และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระจูด ด้านระบบนิเวศ เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำในทะเลน้อยมีปริมาณสูง ควายน้ำจะดำน้ำลงไปกินหญ้าใต้น้ำและพืชน้ำอย่างสายบัว ใบบัว หรือสาหร่าย กระจูด ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศในการกำจัดวัชพืช และมูลของควายยังเป็นอาหารให้กับพืชและแพลงตอน ซึ่งเป็นอาหารปลา 

และในส่วนของด้านวัฒนธรรม ควายเป็นศูนย์รวมของความเชื่อ มีพิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับควาย และทางเดินของควายนอกจากจะสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามยังช่วยป้องกันการเกิดไฟป่าอีกด้วย 

ทองเปลว กองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนให้ผลักดันพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จ.พัทลุง เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกทางการเกษตรโลก ผ่านโครงการความร่วมมือระหว่างไทย – FAO เมื่อปี พ.ศ. 2560 โดย FAO ได้สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดทำแผนงานและเอกสารข้อเสนอการขึ้นทะเบียน (GIAHS Proposal) และได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่จะสามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางการเกษตรโลกได้ จะต้องมีองค์ประกอบครบตามหลักเกณฑ์ 5 ข้อได้แก่ 

1) ความมั่นคงด้านอาหาร/ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 

2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร 

3) ระบบความรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมาแต่ดั้งเดิม 

4) วัฒนธรรม ระบบคุณค่า และองค์กรทางสังคม  

5) ลักษณะภูมิทัศน์/และภูมิทัศน์ทางทะเล 

โดยในปี พ.ศ. 2564 มีพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GIAHS แล้ว 62 พื้นที่ จาก22 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ หากพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางการเกษตรโลกได้สำเร็จ จะทำให้เกษตรกรและชุมชนได้รับประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยว โอกาสทางการเกษตร การจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้นและการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS