สร.รฟท. หวั่น หากเป็นตู้บรรทุกน้ำมัน อาจก่อให้เกิดอันตราย สร้างความเข้าใจผิด ชี้ ประวัติศาสตร์บอกชัด ปราการเพียงเท่านี้ไม่สามารถสกัดกั้นได้ ขอ รัฐบาลแสวงหาแนวทางโดยสันติวิธี แก้ปัญหา
7 ส.ค. 2564 – สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ สร.รฟท. ออกแถลงการณ์ด่วน ไม่เห็นด้วยกับการนำตู้รถไฟไปเป็นแนวกั้นการชุมนุม หลังปรากฏภาพทางสื่อออนไลน์และสื่อทั่วไป โดยภาพดังกล่าวเห็นถึงการนำตู้รถไฟซึ่งอาจจะเลิกใช้การแล้ว ไปเป็นแนวกันชน ป้องกันผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าไปในเขตหวงห้ามนั้น สร.รฟท. ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก
- หากมีผู้ไม่ประสงค์ดี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด อาจนำวัตถุอันตรายไปใส่ไว้ในตู้ ที่ปิดมิดชิด โดยเฉพาะตู้บรรทุกน้ำมัน แล้วเกิดเหตุอันตรายที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นจนอาจก่อให้เกิดความสูญเสียเกิดขึ้น จะไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาล
- จะเกิดความเข้าใจผิดกับผู้ที่เคลื่อนไหว ประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางและวิธีการดังกล่าวจะกล่าวหาได้ว่าผู้ บริหารการรถไฟ สหภาพรถไฟ คนรถไฟ ถูกครอบงำสั่งการ จากนักการเมือง หรืออาสาดำเนินการเอง ก็จะเกิดความขัดแย้งกับประชาชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล เพราะการรถไฟฯ มีหน้าที่ในการให้บริการประชาชน เป็นมิตร ให้บริการกับทุกคนโดยไม่เลือก เชื้อชาติ ศาสนา เพศสภาพ สีผิว หรือลัทธิความเชื่อใด
- จากประวัติศาสตร์การต่อสู้ภาคประชาชนต่อความขัดแย้งทางความคิด อุดมการณ์ทางการเมือง และความไม่พอใจต่อรัฐบาลนั้น ปราการแค่นี้คงไม่สามารถทานกระแสและการลุกขึ้นสู้ของประชาชนได้ จึงไม่ควรก่อให้เกิดสถานการณ์น้ำผึ้งหยดเดียว
- ความขัดแย้ง ความเห็นต่าง การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ขยายเป็นวงกว้างในเวลานี้ จากหลายเรื่อง หลายประเด็นทั้งเรื่อง อำนาจทางการเมือง การจัดการเรื่องเศรษฐกิจ จนมาถึงวิกฤตการณ์ด้านสังคมจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน แต่รัฐบาลต้องแสวงหาแนวทางโดยสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เห็นด้วย เห็นต่าง อย่างเข้าใจ และเป็นมิตร จริงใจ
ดังนั้น จึงขอให้ยกเลิกการนำตู้รถไฟไปเป็นแนวกั้นการชุมนุมของประชาชน และขอให้ผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบว่าการนำตู้รถไฟไปออกไปนั้นกระทำการด้วยวิธีการอย่างไร ใครเป็นคนสั่งการ สร.รฟท. ยืนยันว่าไม่เห็นด้วย ดังเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น และการเคลื่อนไหวของประชาชนหากเคลื่อนไหวด้วยสงบ ปราศจากอาวุธ สันติ ก็เป็นสิทธิที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และ กฎหมายในระดับสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และขอให้รัฐบาลคำนึง ตระหนักถึงสิทธิเหล่านี้