สธ. ยัน ทุกจังหวัดปลอดภัยจากโควิด-19 ไม่พบระบาดเป็นกลุ่มก้อน

7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยเกี่ยวข้อง ‘ท่าขี้เหล็ก’ เข้าสู่สถานการณ์ปกติ ส่วนผู้ป่วยใหม่ 15 คน วันนี้ (16 ธ.ค.) มาจากต่างประเทศทั้งหมด

วันนี้ (16 ธ.ค. 2563) การแถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ศูนย์แถลงข่าว กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี  นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พร้อมด้วย นายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19     

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจำวันที่ 16 ธ.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 15 คน หายป่วยเพิ่ม 28 คน ผู้ป่วยสะสม 4,261 คน หายป่วยสะสม 3,977 คน ยังรักษาในโรงพยาบาล 224 คน และเสียชีวิตสะสม 60 คน ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เมียนมา 3 คน เป็นหญิงไทย อาชีพพนักงานสถานบันเทิงทั้งหมด สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และอินเดีย ประเทศละ 2 คน ฮ่องกง ฮังการี ฝรั่งเศส บาห์เรน สหรัฐอเมริกา และบราซิล ประเทศละ 1 คน แบ่งเป็นคนไทย 11 คน คนต่างชาติ 4 คน โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 14 คน ติดเชื้อมีอาการ 1 คน คือ เจ็บคอ         

สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็กนั้น หากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่หลังพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่รายสุดท้ายครบ 14 วัน จะถือว่ากลับสู่สถานการณ์ปกติ โดย จ.พะเยาและพิจิตร ครบกำหนดเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้วเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. จ.เชียงรายและราชบุรี วันที่ 16 ธ.ค. จ.สิงห์บุรีวันที่ 18 ธ.ค. จ.เชียงใหม่ วันที่ 19 ธ.ค. และ กทม.วันที่ 20 ธ.ค. กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 จากการปฏิบัติงานภายในสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด (ASQ) จากการสำรวจสิ่งแวดล้อมใน ASQ พบว่า เจอสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด 19 บนลูกบิดประตู จึงขอเน้นย้ำผู้ประกอบการต่าง ๆ ให้เน้นการทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสร่วม         

ทั้งนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสม 73.8 ล้านคน วันนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5.87 แสนคน อาการรุนแรง 117,877 คน เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นคน เสียชีวิตรวม 1.64 ล้านคน ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 17 ล้านคน อินเดีย 9.93 ล้านคน บราซิล 6.97 ล้านคน รัสเซีย 2.7 ล้านคน และฝรั่งเศส 2.39 ล้านคน  ส่วนทวีปเอเชียมีหลายประเทศที่พบผู้ป่วยรายใหม่เกินหลักพันอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินโดนีเซีย 6,120 คน ปากีสถาน  2,459 คน ญี่ปุ่น 2,217 คน บังกลาเทศ 1,877 คน มาเลเซีย 1,772 คน เมียนมา 1,155 คน และฟิลิปปินส์ 1,135 คน สำหรับประเทศไทยอันดับขยับลงมาที่ 152 ของโลก      

ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า ภาพรวมผู้ป่วยโรคโควิด 19 ของประเทศไทย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกัน ยังไม่มีติดเชื้อในประเทศเพิ่มเติม และไม่มีจังหวัดใดที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ทุกพื้นที่มีความปลอดภัย ปีใหม่สามารถท่องเที่ยวและจัดกิจกรรมได้ แต่ขอให้คงมาตรการเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก และล้างมือ เพื่อป้องกันตนเองและสร้างความมั่นใจให้ประเทศไทยปลอดภัยจากโควิด 19

ส่วนผลการสอบสวนโรคกรณีที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก วันนี้มีรายงานเพิ่มเติม 3 คน เป็นการตรวจพบในสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine : LQ) จ.เชียงราย ทำให้ยอดสะสมกรณีนี้รวมเป็น 67 คน แบ่งเป็นการติดเชื้อภายหลังเข้า LQ 48 คน ลักลอบเข้ามา 17 คน และติดเชื้อภายในประเทศ 2 คน กระจายใน 7 จังหวัด อย่างไรก็ตาม เฉพาะ จ.เชียงราย มีผู้เดินทางกลับมาจากท่าขี้เหล็กเข้าสู่ระบบกักกัน 248 คน อยู่ระหว่างการรักษา 35 คน รักษาหายแล้ว 20 คน มีการค้นหาเชิงรุกเพิ่มเติมเพื่อสร้างความมั่นใจพื้นที่ โดยตรวจทางห้องปฏิบัติการ 26,360 ตัวอย่าง ไม่พบเชื้อทั้งหมด    

“จังหวัดที่พบผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ทั้ง 7 จังหวัด ภาพรวมนับว่าปลอดภัยแล้ว เนื่องจากการพบผู้รายใหม่เป็นการพบเฉพาะในระบบกักกัน โดยผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ดังนั้น คนเดินทางกลับมาจาก 7 จังหวัด ไม่ต้องกักตัว เนื่องจากไม่มีความเสี่ยง สามารถไปเรียนและทำงานได้ตามปกติ สำหรับโรงเรียนหรือสถานประกอบการบางแห่งที่ให้นักเรียน ครู หรือพนักงานที่กลับมาจากเชียงรายและเชียงใหม่กักตัว เป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น จึงขอให้ทบทวนมาตรการดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้มีคำแนะนำให้กักตัว”

นายแพทย์วิชาญกล่าวว่า สำหรับกรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 ขณะนี้มีผู้ป่วย 7 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม จากการสอบสวนโรคพบว่า เป็นการติดเชื้อจากการปฏิบัติงานใน ASQ ไม่ใช่ในโรงพยาบาล ข้อสันนิษฐาน คือ มีบุคลากร 1 คนที่ไปสัมผัสผู้เข้าพักที่มีเชื้อ และนำไปแพร่กระจายในกลุ่มเพื่อนใกล้ชิดที่คลุกคลีกันนอกเวลางาน ไม่ได้แพร่กระจายต่อให้บุคลากรทางการแพทย์กลุ่มอื่นและเจ้าหน้าที่ ASQ อื่น ๆ ดังนั้น การระบาดจึงอยู่ในวงจำกัดและอยู่ในการควบคุมได้ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทุกรายได้รับการกักตัวและตรวจหาเชื้อ 3 ครั้งตามมาตรฐาน ขณะนี้ตรวจหาเชื้อแล้ว 2 ครั้ง ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม กรณีนี้นำไปสู่การทบทวนมาตรการสำหรับ ASQ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ตรวจสอบมาตรฐานและการบริหารจัดการของ ASQ อย่างเคร่งครัด และให้โรงพยาบาลเอกชนคู่สัญญาจะต้องจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของบุคลากร (Safety officer) เตรียมความพร้อมอุปกรณ์และแนวทางการป้องกันควบคุมการติดเชื้อในระหว่างปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS