หมอชนบทห่วง ระบบสาธารณสุข กทม. รับไม่ไหว

เสนอเตรียม Home Quarantine อย่างเป็นระบบ ระบุ ทฤษฎี​ไม่มีอาการ กักตัวที่บ้านได้​ ด้าน​ “เฉลิมชาตรี​” วอนสังคมอย่ามองผู้ติดเชื้อ​โควิด-19 เป็นผู้ร้าย​ ขอตั้งสติ​ อย่า​แพนิค​

เมื่อวันที่​ 19​ เม.ย.​ 2564​ หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล​ ผู้กำกับภาพยนตร์​ เปิดเผย​ประสบการณ์​ระหว่างเข้าพักรักษาตัวใน​ Hospitel​ เนื่องจากติดเชื้อโควิด​-19 ผ่านรายการ​ Active Talk ตอน​ โควิดคิดบวก​ จาก รพ.สนาม สู่ Home Isolation ว่า​ ตนเป็นผู้กำกับ​ภา​พยนตร์​ นอนกลางดินกินกลางทรายมาเยอะ ฉะนั้น ไม่ค่อยมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรู หรือโรงพยาบาลสนามก็ไม่ติดขัด​ แต่สิ่งที่ได้จากการถอดบทเรียนจากการเป็นผู้ติดเชื้อโควิดระลอกนี้​ คือ​ 1. ได้เห็นการบริหารจัดการความรู้​สึก ตั้งสติ​ อย่า Panic ไม่ควรตระหนกตกใจ 2.​ คนรอบข้างก็ไม่ควร​ Panic หรือตื่นตระหนกตกใจ การระมัดระวังตัวเอง แต่อย่าตื่นตระหนก 3. สังคมรอบข้างต้องมีความรู้​ความเข้าใจ​ ระหว่างคนป่วยโควิด​กับคนร้าย​ เวลานี้เรากำลังมองคนป่วยกับคนร้ายเป็นคนเดียวกัน​ ฉะนั้นต้องแยกให้ออก

“สังคมกำลังมองว่าผู้ป่วยโควิด​ คือ​ ผู้ร้าย​ บางคนอาศัยอยู่คอนโด​ ก็จะโดนนิติบุคคล​ไล่​ บางคนอยู่ใน​ชุมชน​ ถูกกดดัน​ เข้าใจทุกคนว่าห่วงใย​ แต่ถ้าทุกคนทำตามขั้นตอน​ ทุก​ ๆ​ พื้นที่​ใน​ กทม. หรือประเทศ​ไทย​ เขาจะมี​สาธารณสุขที่ให้ความรู้ได้​ ฉะนั้นจึงอยากให้ระมัดระวัง​ ไม่ใช่กังวลจนเกินไป”

ด้าน​ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.จะนะ จ.สงขลา​ กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามน่าจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การทำ Home Isolation อาจตอบโจทย์มากกว่าหากมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น จนไม่สามารถนำทุกคนเข้าสู่การรักษาในสถานพยาบาลได้ โดยกลุ่มที่ต้องนอนโรงพยาบาลคือกลุ่มที่ป่วยต้องการหมอ​ พยาบาล​ ต้อวมีการวัดความดัน​ และเอ็กซเรย์​ ตรวจเลือด เฝ้าระวังไม่ให้เป็นปอดบวม​ หรือถ้าเป็นปอดบวมก็ไม่ให้หนัก คิดเป็นประมา​ณ 5% ของคนที่ติดโควิด​ อีก 15- 20% ก็นอนโรงพยาบาลสนาม กลุ่มนี้อาจมีไข้เล็กน้อย เพื่อป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากสภาพที่บ้าน นอนไม่ได้เพราะอาจจะติดคนใกล้ชิด

นพ.สุภัทร​ กล่าวต่อไปว่า​ ถ้าใครที่สภาพบ้านพร้อม อาการก็ไม่มี ในทฤษฎีก็สามารถที่จะนอนบ้านได้ อันนี้เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ของต่างประเทศ แต่บ้านเราเนื่องจากมีจุดเด่นด้านการสู้ภัยโควิดมาก การแพทย์ทางการเมือง ก็อยากจะให้พวกเราอยู่โรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัยและไม่แพร่เชื้อ เพราะคนไทยไม่มีวินัยในตนเอง

“โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันหนักหนา สาหัสเกินไป​ สำหรับการจัดการทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด​ และมันก็จะส่งผลกระทบ วุ่นวาย​ อย่างที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ คนป่วยหาเตียงยาก​ คนไม่ป่วยนอนเต็มแล้ว​ คนป่วยน้อยนอนเต็มแล้ว​ คนป่วยหนักก็จะลำบากนิดนึง ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ของกรุงเทพฯ​ แต่ถ้าต่างจังหวัดก็จะดีกว่า”

นโยบายหมอครอบครัว​พร้อมรับมือ​ Home​ Quarantine​

นพ.สุภัทร​ ย้ำประเด็นสำคัญ​ คือ​ นโยบาย​“หมอประจำตัว ครอบครัวละ 3 คน” ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ชื่ออนุทิน ชาญวีรกุล​ หมอคนที่ 1 คือ อสม. ทำหน้าที่เป็นหมอประจำบ้าน แบ่งเขตการรับผิดชอบ อสม. 1 คน รับผิดชอบประชาชน 8- 15 หลังคาเรือน ให้การดูแลเบื้องต้น ทำหน้าที่หลักเชื่อมประสานกับหมอคน 2 และหมอคนที่ 3

หมอคนที่ 2 คือ หมอสาธารณสุข หมายถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานบริการปฐมภูมิ ทั้ง รพ.สต., PCC, คลินิกชุมชนอบอุ่น กำหนดให้เจ้าหน้าที่ 1 คน ไม่ว่าจะวิชาชีพใดก็ตามรับผิดชอบประชากร 1,250 คน หรือ 1-3 หมู่บ้าน นอกจากมีหน้าที่ให้บริการด้านการแพทย์และสุขภาพแล้ว ยังต้องเชื่อมต่อประสานงานกับ อสม. และหมอคนที่ 3

หมอคนที่ 3 คือ หมอเวชปฏิบัติครอบครัว หมายถึงบุคลากรในวิชาชีพแพทย์ที่ผ่านการเทรนเวชปฏิบัติครอบครัว (FamMed) โดยกำหนดให้หมอ 1 คน รับผิดชอบประชากร 10,000 คน หรือ 1-3 ตำบล ต้องประสานเชื่อมต่อกับหมอคนที่ 1 และ 2 อย่างใกล้ชิด นอกจากดูแลผู้ป่วยแล้วต้องดูแลและทำให้หมอคนที่ 1 และ 2 มีความรู้และทักษะในการทำงานดีขึ้น

โดยมีเป้าหมายใหญ่ของนโยบายคือการทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของระบบสุขภาพที่แท้จริง อนุทิน ชาญวีรกุล รมว.สธ. ได้กล่าวถึงแนวนโยบายนี้ไว้ว่าเป็นการต่อยอดให้ระบบบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคมั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้น เพราะจะช่วยลดความแออัดและภาระงานของบุคลากรในโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลในระดับตติยภูมิ

“จะเห็นได้ว่ามีทั้งนโยบายและ แผนรองรับแล้ว แต่ยังไม่ได้สร้างอย่างจริงจัง หากทำได้จริง​ จะช่วยทำให้การทำ Home Quarantine มีระบบ เสนอว่าต้องเร่งทำขึ้น”

Author

Alternative Text
AUTHOR

อัญชัญ อันชัยศรี

จากทุ่งนาสู่ป่าคอนกรีต สาวอีสานผู้หลงไหลในการเดินทาง ใช้ชีวิตไปตามแรงดึงดูดของความสัมพันธ์ เชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือการคัดสรรโดยธรรมชาติ